คณะทำงานด้านเศรษฐกิจ ทสท. เตือนรัฐบาล ดิจิทัลวอลเล็ตไม่ทำให้เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจระยะยาว

          นายรณกาจ ชินสำราญ คณะทำงานด้านเศรษฐกิจ พรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) ย้ำถึงความกังวลต่อนโยบายเติมเงินหนึ่งหมื่นบาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล ซึ่งอ้างว่าจะก่อให้เกิดพายุหมุน 4 ระลอก ทำให้เม็ดเงิน 5 แสนล้านบาท กระจายรายได้ไปทุกชุมชน ว่า ข้อเท็จจริงที่ประชาชนต้องทราบ คือ นโยบายนี้ มีผลกระทบต่อสถานะทางการคลังของประเทศ สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้เพียงระยะสั้นเท่านั้น โดยเศรษฐกิจจะเติบโตเพียง 1% กว่า ๆ ของ GDP จากนั้นก็จะกลับเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้ง จึงทำให้โอกาสที่เศรษฐกิจจะหมุนเวียนเป็นพายุหมุนในระยะยาวเกิดขึ้นได้ยาก พร้อมย้ำด้วยว่า ที่มาของงบประมาณนั้น ไม่ตรงกับที่หาเสียงไว้ เพราะมาจากการกู้ผ่านงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2 ปีงบประมาณ กับการขอกู้ยืมจากธนาคารการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นการสร้างหนี้สาธารณะที่มีมากอยู่แล้ว ให้กับเด็กรุ่นหลัง
          นายรณกาจ กล่าวว่า ที่สำคัญการแจกเป็นดิจิทัลไม่แจกเป็นเงินสด ถือว่ารัฐไม่ฟังเสียงเรียกร้องจากประชาชนที่แสดงความต้องการชัดเจนว่าอยากได้เงินสด เพื่อนำไปเป็นทุนหมุนเวียนต่อยอดการสร้างอาชีพ ทำให้เกิดคำถามตามมามากมายว่าเป็นการทุจริตเชิงนโยบายหรือไม่ เพราะการทำระบบ แอปพลิเคชันใหม่ใช้เงินหลายพันล้านบาท ให้บริษัทใดทำ เป็นการเอื้อพวกพ้องหรือไม่ ธนาคารใหญ่ทำระบบหลายปีกว่าจะทำได้ แต่ครั้งนี้มีเวลาไม่กี่เดือนจะสำเร็จได้อย่างไร และเหตุใดไม่ใช้แอปพลิเคชันเป๋าตังค์ ที่มีฐานประชากร 40 กว่าล้านคนอยู่แล้ว และประชาชนก็มีความคุ้นเคย อีกทั้งยังมีค่าธรรมเนียมในการแลกเงิน 2 ต่อ จากการกู้เป็นเงินสดและแปลงเป็นเงินดิจิทัล และสุดท้ายต้องแปลงจากดิจิทัลกลับมาเป็นเงินบาท รัฐต้องสูญเสียงบประมาณอีกเท่าใดและให้บริษัทใดเป็นผู้ทำ หากคิดค่าธรรมเนียมที่ 2% รัฐจะต้องสูญเสียงบประมาณแบบฟรี ๆ ถึง 20,000 ล้านบาท เงินนี้จะไปเข้ากระเป๋าใคร ดังนั้น หากรัฐบาลจริงใจต่อประชาชน ต้องฟังเสียงและความต้องการของประชาชน ควรรับฟังและปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย นักเศรษฐศาสตร์ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งแนะนำว่าควรแจกเฉพาะกลุ่มเปราะบางประมาณ 17-20 ล้านคน โดยแจกเป็นเงินสดเท่านั้น

ทัดดาว ทองอิ่ม ข่าว / เรียบเรียง