30 ก.ย.68- รมว.กระทรวงพลังงาน เปิดแผนเร่งด่วน 4 เดือนแรก ขับเคลื่อนโครงการ “โซลาร์ภาคประชาชน โซลาร์ฟาร์มชุมชน โซลาร์สูบน้ำเพื่อเกษตร และมาตรการลดหย่อนภาษีโซลาร์ครัวเรือน” พร้อมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานพลังงานรองรับอุตสาหกรรมใหม่ มุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน Net Zero ภายในปี ค.ศ.2050

image

        นายอรรถพล  ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวชี้แจงนโยบายคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายใต้การนำของนายอนุทิน  ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ต่อที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ว่า รัฐบาลได้จัดทำแผนการดำเนินงานระยะเร่งด่วน (Quick Big Win) ในช่วง 4 เดือนแรก ภายใต้โครงการโซลาร์ภาคประชาชน เพื่อสร้างรายได้ ลดรายจ่ายด้านพลังงาน โดยกระทรวงพลังงานตั้งเป้าที่จะนำโควตาการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ยังเหลืออยู่มาจัดสรรให้กับภาคประชาชนโดยตรง ประกอบด้วย 4 โครงการย่อยที่ครอบคลุมทั้งในระดับชุมชน เกษตรกร และครัวเรือนทั่วไป ได้แก่ 1. โครงการโซลาร์ภาคประชาชน แบ่งเป็น โซลาร์ฟาร์มชุมชน จำนวน 1,500 เมกะวัตต์ มาจัดสรรเป็นโรงไฟฟ้าชุมชนขนาดเล็ก (ไม่เกิน 5 เมกะวัตต์ต่อแห่ง) ซึ่งจะสามารถสร้างโซลาร์ฟาร์มได้ อย่างน้อย 300 ชุมชน และเกิดประโยชน์ครอบคลุม 15,000 ครัวเรือน ทั่วประเทศ 2. โซล่าสูบน้ำเพื่อการเกษตร โดยตั้งเป้าอนุมัติโครงการ 1,200 แห่ง เพื่อติดตั้งระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งจะครอบคลุมพื้นที่การเกษตรกว่า 700,000 ไร่ทั่วประเทศ และช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานในการบริหารจัดการน้ำให้กับเกษตรกร 3. มาตรการลดหย่อนภาษีโซลาร์เซลล์ ผ่านมาตรการกระตุ้นการติดตั้งโซลาร์เซลล์ในระดับครัวเรือน โดยให้สามารถนำค่าใช้จ่ายในการติดตั้งตามจริง แต่ไม่เกิน 200,000 บาท มาลดหย่อนภาษีได้ ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 90,000 ครัวเรือน และ 4. โซลาร์ลอยน้ำใน 3 เขื่อนหลักของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนวชิราลงกรณ์ และเขื่อนศรีนครินทร์ รวมกำลังการผลิตกว่า 1,638 เมกะวัตต์ ซึ่งโครงการนี้มีต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่ถูกมาก นอกจากจะได้ไฟฟ้าที่เป็นพลังงานสะอาดแล้ว ยังจะช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าโดยรวมของประเทศอีกด้วย ทั้งนี้ รัฐบาล คาดว่า โครงการโซลาร์ภาคประชาชนทั้งหมดนี้ จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 3.6 ล้านตันต่อปี

        รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบพลังงานรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ ว่า โครงการดังกล่าวเป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมอนาคต (New S-Curve) เช่น Data Center และ Cloud ซึ่งมีความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าสะอาดในปริมาณสูงมาก กระทรวงพลังงานได้วางแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไว้ 3 ด้าน ได้แก่ 1.สัญญาซื้อขายไฟฟ้าสะอาดโดยตรง (Direct Private Power Purchase Agreement :PPA) เป็นการจัดสรรโควตา 2,000 เมกะวัตต์ สำหรับไฟฟ้าสีเขียว เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตไฟฟ้าสามารถขายไฟฟ้าโดยตรงให้กับผู้ใช้ในภาคอุตสาหกรรม เช่น กลุ่ม Data Center ซึ่งหากโมเดลนี้สำเร็จ จะสามารถต่อยอดไปสู่การซื้อขายไฟฟ้าโดยตรงในรูปแบบอื่น ๆ ได้ในอนาคต 2. การพัฒนาระบบไฟฟ้ารองรับอุตสาหกรรมเขตภาคตะวันออก โดยเฉพาะเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นที่ตั้งของอุตสาหกรรมใหม่จำนวนมาก โดยจะใช้กรอบงบประมาณเดิมของ กฟผ. ที่สามารถบริหารจัดการได้มาดำเนินการเพื่อความรวดเร็ว และ 3. การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรม โดยส่งเสริมการจัดการด้านการใช้พลังงาน (Demand Side Management) ตลอดจนส่งเสริมให้โรงงานอุตสาหกรรมเข้าถึงกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตและลดการใช้พลังงาน ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของโรงงานและลดการใช้พลังงานของประเทศโดยรวม

        นายอรรถพล กล่าวย้ำว่า กระทรวงพลังงานจะเป็นหน่วยงานหลักในการผลักดันให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Net Zero) ภายในปี ค.ศ. 2050 โดยมีแผนเร่งด่วนในการพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP) ฉบับใหม่ ให้ตอบโจทย์เป้าหมายใหม่ ผ่านการเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดในการผลิตไฟฟ้าให้เหมาะสม รวมทั้งเร่งจัดตั้งคณะกรรมการชุดใหม่เพื่อจัดทำแผน PDP ให้แล้วเสร็จภายใน 4 เดือน เช่นเดียวกับการผลักดันโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage: CCS) ซึ่งเป็นการดักจับคาร์บอนจากกระบวนการผลิตแล้วนำไปอัดเพื่อกักเก็บไว้ใต้ดิน แต่ที่ผ่านมาพบอุปสรรคสำคัญ คือ ยังไม่มีกฎหมายและกฎเกณฑ์รองรับการสำรวจและกักเก็บ มีเพียงฎหมายสำหรับการขุดเจาะขึ้นมาใช้เท่านั้น ซึ่งการแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วน คือ การอาศัยความร่วมมือกับประเทศญี่ปุ่นให้เรือสำรวจสามารถเข้ามาดำเนินการได้ เนื่องจากโครงการ CCS เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เงินลงทุนเป็นแสนล้านและใช้เวลานับ 10 ปี จึงจำเป็นต้องเริ่มต้นก้าวแรกให้ได้โดยเร็วที่สุด

        รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวชี้แจงถึงข้อห่วงใยของสมาชิกรัฐสภาเกี่ยวกับโครงการโรงไฟฟ้าใน สปป.ลาว ว่า ตนยืนยันว่าจะกำกับดูแลให้มีการปลูกป่าทดแทนพื้นที่ที่ใช้สร้างแนวสายส่งไฟฟ้าตามข้อกำหนดของรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โดยเฉพาะการปลูกป่าคืน 3 เท่า และข้อกำหนดการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (Initial Environmental Examination: IEE) ที่ต้องปลูกป่าคืน 2 เท่าอย่างเคร่งครัด และพร้อมน้อมรับข้อเสนอแนะต่าง ๆ ไปดำเนินการต่อไป

 

ณัฐพล  สงวนทรัพย์  ข่าว/เรียบเรียง

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ