นายรังสิมันต์ โรม ประธานกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร พร้อมคณะ แถลงผลการประชุม กมธ.ว่า ที่ประชุม กมธ.ได้พิจารณาศึกษาปัญหาการฟอกเงินของกลุ่มทุนกัมพูชาที่เชื่อมโยงกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศไทย กรณีของ B.I.C. Group, B.I.C. Bank และนายยิม เลียก ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมให้ข้อมูล อาทิ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กรมการปกครอง กระทรวงหมาดไทย และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดยที่ประชุมได้รับทราบข้อมูลว่า กรณีนายเบน สมิธ จากการตรวจสอบพบว่ามีหลายสัญชาติ และมีความพยายามตกแต่งบัญชีรายชื่อในการขอสัญชาติไทย หน่วยงานรัฐจึงส่งคำร้องคืนและไม่สามารถขอสัญชาติได้ รวมถึงอาจมีการดำเนินคดีเพิ่มเติม ขณะที่กรณีนายก๊ก อาน ซึ่งมีถิ่นที่อยู่ถาวรในไทย ได้ข้อสรุปว่าจะถอนใบถิ่นที่อยู่ถาวร และปัจจุบันได้ถูกออกหมายแดงจากองค์การตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศ (อินเตอร์โพล) แล้ว โดยสิ่งที่ต้องพิจารณาต่อไปคือการประสานงานกับกัมพูชาเพื่อส่งตัวมาดำเนินคดีที่ได้ ส่วนนายยิม เลียก ปปง. มีข้อมูลว่า เคยถูกยึดทรัพย์แล้ว และได้มีการถอนอายัดทรัพย์ไปแล้วเช่นกัน โดยเบื้องต้นจะมีการดำเนินการตรวจสอบเรื่องนี้ ทั้งนี้ หากพิจารณาภาพรวมความคืบหน้าการพิจารณาเรื่องดังกล่าวยังไม่เท่าทันสถานการณ์ เพราะหน่วยงานต่างๆ ยังไม่ได้มีความร่วมมืออย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตามถือว่า ป.ป.ง. เริ่มมีการดำเนินการแล้วและอยู่ในขั้นตอนประสานงานต่างๆ จากเดิมที่เคยระบุว่า ไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้ ต้องรอให้มีคดีมูลฐานก่อน หลังจากนี้ กมธ.จะส่งรายชื่อ 43 คน ที่เกี่ยวข้อง ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ให้หน่วยงานตรวจสอบ เพื่อพิจารณาห้ามเข้าประเทศและตรวจสอบความเกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์
นายรังสิมันต์ กล่าวเพิ่มเติมถึงผลการศึกษาความเกี่ยวข้องระหว่างบุคคลหรือบริษัทที่อยู่ในไทยที่ปรากฏตามข่าวกับปัญหาการฟอกเงินของกลุ่มทุนกัมพูชา ว่า กมธ.ได้เชิญบุคคลหลายคนมาชี้แจง แต่มีเพียงนายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ เท่านั้นที่มาชี้แจง ซึ่งให้ข้อมูลหลายอย่างที่เป็นประโยชน์และชี้แจงประเด็นได้ชัดเจนค่อนข้างมาก โดยสอดคล้องกับที่เคยพูดในที่สาธารณะว่า ไปเป็นประธานธนาคาร B.I.C โดยการชักชวนของนักธุรกิจคนหนึ่ง และอยู่เพียง 1 ปี หลังจากนั้นไม่ได้ดำเนินการต่อ เมื่อ กมธ.สอบถามเรื่องความเชื่อมโยงของธนาคาร B.I.C กับบริษัทที่ถูกสหราชอาณาจักรคว่ำบาตร เนื่องจากเกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์ นายสถิตย์ ชี้แจงว่า ไม่ทราบ เช่นเดียวกับหลายคนที่มีชื่อปรากฏความเชื่อมโยงกับ B.I.C Bank ที่ระบุว่าไม่ทราบเช่นกัน สำหรับความสัมพันธ์กับนายเบน สมิธ และนายยิม เลียก นายสถิตย์ ชี้แจงต่อ กมธ.ว่า รู้จักกับบิดาของนายยิม เลียก มากกว่าส่วนนายเบน สมิธ นั้นไม่ได้สนิทคุ้นเคยเป็นการส่วนตัว
ทั้งนี้ กมธ.จะรวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่ได้ไปใช้ในการตรวจสอบแสวงหาข้อเท็จจริงต่อไป ซึ่งในสัปดาห์หน้าจะมีการติดตามเรื่องนี้ โดยหนึ่งในธุรกิจที่สำคัญต่อการติดตาม กมธ.พบว่า มีทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยในรูปแบบไพรเวทวอลเล็ตอยู่ 130 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 4 พันล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าเป็นเงินที่เกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์ และเป็นข้อมูลที่ กมธ.ควรมีการสอบแสวงหาต่อไป
อรุณี ตันศักดิ์ดา ข่าว/เรียบเรียง