นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ประธานกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีข้อพิพาทบริเวณชายแดนช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ระหว่างทหารไทยและกัมพูชา ว่า ระหว่างรอการประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Committee: JBC) เป็นโจทย์ว่าจะทำอย่างไรให้ท่าทีของไทยและระบบภายในมีความเข้มแข็งที่จะสามารถโน้มน้าวจูงใจฝ่ายกัมพูชาเข้ามาร่วมโต๊ะเจรจาและพูดคุยในเงื่อนไขที่สมเหตุสมผลและบรรลุข้อตกลงจริงได้ เพราะหากไทยไม่มีการเตรียมเงื่อนไขการใช้กำลัง เงื่อนไขในการตอบโต้ทางการทูต และเงื่อนไขในการตอบโต้ทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน รวมถึงหากไม่มีการถ่ายทอดคำสั่งไปยังผู้ปฏิบัติงานให้รับทราบร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นกองทัพ, แม่ทัพภาคที่ 2 และกระทรวงการต่างประเทศ ให้เป็นไปอย่างมีเอกภาพ จนกว่าจะถึงการประชุม JBC ตนก็กังวลว่า ด้วยอำนาจการต่อรองที่ไม่ได้มีเพียงพอจะถูกโต้กลับด้วยการเจรจาที่ถูกหยิบยื่นเงื่อนไขที่ไม่เป็นจริง ซึ่งซ้ำร้ายกัมพูชาอาจจะเลื่อนการประชุมออกไปก็ได้ ดังนั้น ประเทศไทยต้องทำให้กัมพูชารู้สึกว่าการเจรจา JBC เป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับกัมพูชาด้วย อีกทั้งต้องทำให้รู้สึกว่าการเลื่อนหรือการหยิบยื่นเงื่อนไขที่ไม่เป็นจริงเป็นผลเสียที่รุนแรงกว่ากับกัมพูชา ซึ่งเรื่องดังกล่าว ตนจะขอมติจากที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯ เพื่อที่จะทำหนังสือถึงรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้รับทราบถึงความปรารถนาดีในการเข้าร่วมประชุมใด ๆ หรือลงพื้นที่ชายแดนช่องบกร่วมกัน เพื่อคลี่คลายปัญหาข้อพิพาท โดยยึดผลประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง
นอกจากนี้ นายวิโรจน์ ยังกล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีมีวิวาทะกับผู้สื่อข่าว หลังถูกถามถึงสถานการณ์แนวชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า ตนไม่ให้ความเห็นอะไร เนื่องจากมองว่าขณะนี้ควรจะปล่อยวางในเรื่องที่สำคัญน้อยกว่า และควรให้ความสำคัญกับสิ่งที่สำคัญมากกว่า คือ การมีเอกภาพ และการปกป้องอธิปไตยของชาติ ซึ่งเรื่องดังกล่าวนายกรัฐมนตรีอาจจะเครียด จึงอยากแนะนำในฐานะกัลยาณมิตร ผ่านไปยังนายภูมิธรรม เวชชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่า ขณะนี้ทีมที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีควรจะต้องทำงานอย่างหนัก และต้องเรียกประชุมอย่างไม่เป็นทางการ เพื่อรายงานสถานการณ์ให้กับนายกรัฐมนตรีได้รับทราบในทุกวัน รวมถึงต้องเตรียมคำตอบให้กับประชาชน ซึ่งจะถูกถามผ่านสื่อมวลชน โดยจะต้องเป็นคำตอบที่นำไปสู่การปฏิบัติจริง ดังนั้น ในสถานการณ์ที่หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ ตนเข้าใจนายกรัฐมนตรีและไม่รู้จะไปตำหนิทำไม
นายวิโรจน์ ยังระบุว่า อยากให้นายกรัฐมนตรีปล่อยวางใน 2 เรื่อง คือ เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวของนายกรัฐมนตรีกับครอบครัวของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เนื่องจากไม่มีประโยชน์แล้ว เพราะหากความสัมพันธ์ระหว่างนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และสมเด็จฮุน เซน มีผลจริง ๆ สถานการณ์ชายแดนก็คงไม่ลุกลามบานปลายขนาดนี้ ส่วนอีกเรื่อง คือ ซอฟพาวเวอร์ ที่ขณะนี้เรื่องชายแดนถือเป็นเรื่องใหญ่กว่า ดังนั้น จึงต้องใช้ฮาร์ดพาวเวอร์แล้ว
ทัดดาว ทองอิ่ม ข่าว / เรียบเรียง