นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวชี้แจงนโยบายคณะรัฐมนตรี (ครม.) ด้านเศรษฐกิจ ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ต่อที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ว่า หากเปรียบเทียบเศรษฐกิจไทยปัจจุบันเปรียบเหมือนรถยนต์ที่กำลังจะตกเหว โดยคาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 4 ปี 68โตแค่ 0.3% กลายเป็น “เศรษฐกิจไทยติดหล่ม” ประกอบกับรัฐบาลมีเวลาเพียง 4 เดือนเท่านั้น จึงจำเป็นต้องใช้ยุทธศาสตร์ “กระตุ้นสั้น ได้ยาว กระจายตัว” ผ่านนโยบาย 5 เสาหลัก และ 1 ฐานราก ทั้งโครงการคนละครึ่ง Plus การแก้หนี้ครัวเรือน และธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ส่งเสริมการออม และปลดล็อกการลงทุน 4.7 แสนล้านบาท โดยทุกโครงการอยู่ภายใต้กรอบวินัยการคลัง คือ ต้องไม่กู้เพิ่ม
นายเอกนิติ กล่าวด้วยว่า แม้ว่าภาคการส่งออกของไทยครึ่งปีแรกจะสามารถขยายตัวได้ดีที่ 3% แต่หลังจากหลายประเทศเร่งส่งออกไปก่อนหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษีสหรัฐ ทำให้ในช่วงครึ่งปีหลังตัวเลขการส่งออกจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเดือน ก.ค. เริ่มส่งสัญญาณการชะลอตัวแล้ว ขณะที่ดัชนีการบริโภคภาคเอกชนในเดือน ก.ค. ติดลบเป็นครั้งแรกในรอบปี สาเหตุหลักมาจากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สะสมมานาน และประชาชนขาดรายได้และความเชื่อมั่น สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนที่ชะลอตัวเห็นได้จากปัจจุบันโรงงานส่วนใหญ่มีอัตราการใช้กำลังการผลิตไม่ถึง 60% และยังไม่มีแผนที่จะลงทุนเพิ่มในเร็ว ๆ นี้ ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐ ยังเป็นความหวังเดียวในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในขณะนี้ และหากปล่อยไว้เฉย ๆ ความเสียหายจะรุนแรงและแก้ไขได้ยากยิ่งขึ้น
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงเปิดยุทธศาสตร์ “Quick Big Win” ภายใต้หลักการสำคัญ 3 ประการ ว่า กระตุ้นสั้น (Quick) คือ ต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วและเห็นผลทันทีภายใน 4 เดือน และต้องมีขนาดใหญ่ (Big) พอที่จะสามารถดันเศรษฐกิจให้พ้นจากภาวะติดหล่มได้ ที่สำคัญต้องกระจายตัว (Win) ต้องเกิดประโยชน์กับประชาชนและผู้ประกอบการรายย่อยอย่างทั่วถึง โดยยุทธศาสตร์ดังกล่าวจะถูกขับเคลื่อนผ่าน 5 เสาหลัก และ 1 ฐานราก เพื่อแก้ปัญหาปากท้องประชาชนและวางรากฐานเศรษฐกิจในระยะยาว ประกอบด้วย เสาที่ 1 กระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ผ่านโครงการคนละครึ่ง Plus ซึ่งเป็นการต่อยอดโครงการเดิม เพื่อช่วยลดค่าครองชีพและกระตุ้นการใช้จ่าย โครงการนี้จะเน้นให้ประโยชน์กับร้านค้ารายเล็ก หาบเร่ แผงลอย และแท็กซี่ โดยส่วนที่เป็น “Plus” คือ การจูงใจเข้าระบบภาษี โดยผู้ที่อยู่ในระบบภาษีจะได้รับวงเงินมากกว่าคนนอกระบบ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้คนเข้าสู่ระบบภาษีมากขึ้น รวมทั้งต้องเพิ่มทักษะดิจิทัล โดยเฉพาะการจัดอบรมทักษะการขายของออนไลน์ (E-commerce) และการทำบัญชีดิจิทัลให้กับผู้ค้าออนไลน์ที่เข้าร่วมโครงการ และการต่อยอดสู่สินเชื่อ โดยข้อมูลรายรับ-รายจ่ายที่ชัดเจนจากโครงการ จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงสินเชื่อจากธนาคารได้ง่ายขึ้น ขณะที่การกระตุ้นท่องเที่ยวเมืองรอง จะมีมาตรการลดหย่อนภาษี 2 เท่า สำหรับโรงแรมในเมืองรองที่ปรับปรุงและพัฒนาสถานประกอบการ ซึ่งจะช่วยกระจายรายได้และใช้เม็ดเงินภาษีไม่มาก
นายเอกนิติ กล่าวถึงการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจผ่านเสาที่ 2 และ 3 ว่า เป็นการแก้หนี้ประชาชนและช่วยเหลือธุรกิจ SME โดยเฉพาะการแก้หนี้เสียภาคครัวเรือน (NPL) รัฐบาลจะนำเงินคงเหลือจากกองทุนฟื้นฟูและสถาบันการเงิน ประมาณ 26,000 ล้านบาท มาจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ร่วมกับธนาคารเพื่อซื้อหนี้เสียของประชาชนออกมาบริหาร จากนั้นจะทำการปรับโครงสร้างหนี้ เช่น ยืดระยะเวลาผ่อน ลดดอกเบี้ย เพื่อให้ลูกหนี้สามารถกลับมาหายใจได้อีกครั้ง ส่วนมาตรการช่วยเหลือธุรกิจ SME นั้นประกอบด้วย การค้ำประกันสินเชื่อ โดยใช้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เข้ามาค้ำประกันสินเชื่อในวงเงินขั้นต่ำ 50,000 ล้านบาท การคืนภาษีเร่งด่วน โดยให้กรมสรรพากรเร่งคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ประกอบการ ซึ่งมีเงินที่สามารถคืนได้ทันทีกว่า 160,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ธุรกิจ รวมทั้งโครงการพี่ช่วยน้อง ที่เป็นการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่บริษัทขนาดใหญ่ที่ช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยในห่วงโซ่อุปทาน เสาที่ 4 เพิ่มการออมภาคประชาชน ผ่านสลากออมทรัพย์ออนไลน์ โดยจะปรับปรุงระบบการซื้อสลากออนไลน์ และจะแบ่งเงินส่วนหนึ่งจากการซื้อทุกครั้งเข้าบัญชีเงินออมโดยอัตโนมัติ ซึ่งผู้ซื้อจะสามารถนำเงินออกมาใช้ได้เมื่อมีอายุครบ 55 ปี หรือถือครองครบ 5 ปี เพื่อเป็นหลักประกันในยามเกษียณ โดยจะใช้เงินจากงบการตลาดของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เช่นเดียวกับพันธบัตรออมทรัพย์รายย่อย โดยจะเปิดให้ประชาชนรายย่อยสามารถเข้าถึงการซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ของรัฐบาลได้ทุกเดือน เพื่อเป็นทางเลือกในการออมที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก สุดท้าย เสาที่ 5 การสร้างอุตสาหกรรมแห่งอนาคต มุ่งปลดล็อกการลงทุนที่ค้างท่อ ปัจจุบันมีโครงการที่ได้รับการอนุมัติจาก BOI แล้วแต่ยังไม่เริ่มลงทุนสูงถึง 470,000 ล้านบาท เนื่องจากติดปัญหาด้านการขออนุญาตต่าง ๆ รัฐบาลจะจัดทำ “Fast Plus Pass” เป็นช่องทางด่วนเพื่อเร่งรัดการอนุมัติทั้งหมดให้เกิดขึ้นภายใน 4 เดือน รวมทั้ง การ Reskill แรงงาน โดยจะนำเงินจากกองทุนเพิ่มขีดความสามารถของ BOI จำนวน 10,000 ล้านบาท มาจับมือกับภาคเอกชนและสถาบันการศึกษา เพื่อพัฒนาทักษะแรงงานให้ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรมใหม่ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เกษตรชีวภาพ และดิจิทัล
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวย้ำว่า ทุกนโยบายจะอยู่บนฐานรากของวินัยการคลังที่เข้มแข็ง โดยโครงการคนละครึ่ง Plus จะใช้งบประมาณที่มีอยู่แล้ว 44,000 ล้านบาท โดยไม่ก่อหนี้เพิ่ม นอกจากนี้ กระทรวงการคลังจะจัดทำกรอบวินัยการคลังระยะปานกลางในเดือน พ.ย. เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจน คือ การทำให้เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ขยายตัวได้ดีกว่า 0.3% ลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนให้ต่ำกว่า 87.4% และผลักดันให้เม็ดเงินลงทุนที่ค้างอยู่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจให้ได้จริง ทั้งนี้ รัฐบาลพร้อมรับฟังความเห็นจากทุกฝ่ายเพื่อร่วมกันทำให้รถยนต์เศรษฐกิจไทยคันนี้ฟื้นตัวจากหล่มและไม่ตกเหวได้สำเร็จ
ณัฐพล สงวนทรัพย์ ข่าว/เรียบเรียง