การประชุมวุฒิสภา ที่มีนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดยมีวาระพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง “การถ่ายโอนภารกิจด้านการจราจรและการขนส่งให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ : กรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา ซึ่งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การปกครองท้องถิ่น วุฒิสภา พิจารณาเสร็จแล้ว โดยนายอภิชาติ งามกมล ประธาน กมธ. การปกครองท้องถิ่นฯ กล่าวว่า จากการศึกษาพบว่าแม้มีการมอบหมายให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) รูปแบบพิเศษจัดการบริการสาธารณะและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในหลายด้าน แต่ปัญหาการจราจรและการขนส่งเป็นประเด็นสำคัญที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นและต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ที่ผ่านมาการถ่ายโอนภารกิจการจราจรและการขนส่งให้แก่ กทม. และเมืองพัทยา ยังไม่สามารถดำเนินการได้ตามแผนการกระจายอำนาจที่กำหนดไว้
นายอภินันท์ เผือกผ่อง รองประธาน กมธ. กล่าวถึงการถ่ายโอนภารกิจให้กับ อปท. ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจฯ พ.ศ. 2542 และแผนปฏิบัติการฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2544) และฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2551) ว่า ตามกฎหมายได้กำหนดให้มีการถ่ายโอน 3 ภารกิจหลัก ที่สำคัญ ได้แก่ 1. ภารกิจด้านวิศวกรรมจราจร 2. ภารกิจในด้านการบริหารจัดการจราจร และ 3. ภารกิจด้านการขนส่งทางบกและทางน้ำ ซึ่งภารกิจดังกล่าวอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของ 5 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมการขนส่งทางบก กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท และกรมเจ้าท่า แม้จะมีความพยายามดำเนินการมา กว่า 20 ปี แต่การถ่ายโอนภารกิจกลับมีความล่าช้า และมีความคืบหน้าเพียงประมาณ 40% เท่านั้น โดยเฉพาะภารกิจการจัดการจราจรที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องถ่ายโอน และภารกิจการบริหารจัดการสถานีขนส่ง เช่น การพิจารณาสัมปทานเดินรถ ยังไม่มีการถ่ายโอน รวมถึงการอนุญาตเดินเรือโดยสารและการจัดทำสัญญาณจราจรทางน้ำที่ยังไม่ถ่ายโอนจากกรมเจ้าท่าให้ กทม. และเมืองพัทยา ความล่าช้าดังกล่าวส่งผลให้เกิดปัญหาด้านการจราจรและการขนส่งในพื้นที่ดังกล่าว
นายอภินันท์ กล่าวสรุปปัญหาและอุปสรรคในการถ่ายโอนภารกิจด้านการจราจรและการขนส่งของ กทม. และเมืองพัทยา ใน 4 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านกฎหมายและอำนาจหน้าที่ แม้ กทม. และเมืองพัทยาจะมีความพร้อม แต่ไม่มีอำนาจในการบังคับใช้กฎหมายจราจรได้โดยตรง เนื่องจากพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จราจรทางบก พ.ศ.2522 กำหนดให้ “เจ้าพนักงานจราจร” คือ เจ้าหน้าที่ตำรวจ และ “หัวหน้าเจ้าพนักงานจราจร” คือ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือผู้บัญชาการตำรวจนครบาล หากต้องการให้ท้องถิ่นจัดการจราจรได้อย่างเบ็ดเสร็จ จำเป็นต้องปรับโครงสร้างกฎหมาย 2. ด้านโครงสร้างพื้นฐานและทรัพย์สิน กทม. และเมืองพัทยา ขาดอำนาจที่แท้จริงในการบริหารจัดการหรือใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐาน ถนนหลายสายในพื้นที่ยังอยู่ภายใต้อำนาจควบคุมของกรมทางหลวงหรือกรมทางหลวงชนบท ทำให้ต้องขออนุญาตเป็นรายกรณี การขาดระบบฐานข้อมูลกลาง ที่แสดงความเป็นเจ้าของและผู้รับผิดชอบทรัพย์สิน เช่น ถนน อุปกรณ์ และกล้อง ซึ่งกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งโดย กทม. หรือเมืองพัทยา ไม่สามารถเข้าถึงหรือใช้ข้อมูลร่วมกับ สตช. ได้โดยตรง 3. ด้านบุคลากรและสมรรถนะองค์กร ปัจจุบัน กทม. ขาดตำแหน่ง “วิศวกรจราจร” หรือผู้ดูแลระบบประจำสำนักงานเขต แม้จะมีระบบควบคุมสัญญาณไฟจราจรอัจฉริยะ ทั้งนี้ เมืองพัทยาใช้เจ้าหน้าที่เทศกิจปฏิบัติงานด้านจราจร แต่ทั้งสองเมืองยังไม่สามารถใช้บังคับกฎหมายจราจรได้โดยตรง และ 4. ด้านการประสานงานและแผนข้อมูลร่วม ทั้งนี้ การถ่ายโอนจะล้มเหลวหากไม่มีกลไกการประสานงานถาวรระหว่างหน่วยงานกลางและท้องถิ่น แต่ยังไม่มีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมจราจรระดับเมืองที่มีอำนาจบูรณาการทั้งแผนงาน ระบบ และงบประมาณร่วมกัน
นายวิฑูร เอี่ยมโอภาส อนุ กมธ. และเลขานุการ กล่าวถึงข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขปัญหาทั้งในเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติ ว่า กมธ. มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายระยะเร่งด่วน โดยคณะกรรมการการกระจายอำนาจฯ ควรจัดทำประกาศกำหนดคู่มือแนวทางการดำเนินภารกิจถ่ายโอนการบริหารจัดการจราจรและการขนส่ง เพื่อกำหนดการดำเนินงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรค เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขกฎหมาย โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ควรแก้ไข พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ เพื่อให้ กทม. และเมืองพัทยา มีอำนาจในการจัดการจราจร โดยสามารถบังคับใช้กฎหมาย และมีอำนาจในการเปรียบเทียบปรับได้ ขณะที่ กรมการขนส่งทางบก ควรแก้ไขกฎหมายให้ท้องถิ่นมีอำนาจในการบริหารจัดการสถานีขนส่งผู้โดยสารอย่างแท้จริง ส่วน กรมเจ้าท่า ควรแก้ไขกฎหมายให้ กทม. และเมืองพัทยามีอำนาจอนุญาตให้เดินเรือโดยสารในเขตพื้นที่ นอกจากนี้ ควรปรับปรุงแผนการกระจายอำนาจฉบับที่ 3 เพื่อให้ กทม. และเมืองพัทยา มีอำนาจอย่างสมบูรณ์ในการบริหารจัดการจราจรและขนส่งในพื้นที่
นางประทุม วงศ์สวัสดิ์ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) จังหวัดชลบุรี กล่าวถึงปัญหาการจราจร ในตัวเมืองพัทยา ว่า ปัจจุบันประสบปัญหาการจราจรติดขัดบนถนนสุขุมวิท ปัญหาการจอดรถกีดขวางบนถนนเลียบชายหาดที่ประชาชนไม่เกรงกลัวกฎหมาย แม้ว่าเทศบาลเมืองพัทยามีสิทธิ์ออกกฎหมายห้ามจอดแต่ไม่มีสิทธิ์เปรียบเทียบปรับ
นางสาวรัชนีกร ทองทิพย์ สว. จังหวัดพังงา กล่าวด้วยว่า การถ่ายโอนภารกิจด้านจราจรอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอต่อการเป็นเมืองที่ดีได้ เนื่องจากการบริหารจัดการเมืองต้องมีการประสานความสัมพันธ์ระหว่างการวางผังเมืองและการออกแบบระบบขนส่งมวลชน ซึ่งปัญหาหลักอาจอยู่ที่ องค์ความรู้และนโยบายสาธารณะของส่วนกลางที่ยังใช้มาตรฐาน Highway Capacity Manual (HCM) ฉบับปี 1994 ซึ่งเป็นมาตรฐานเดิม อีกทั้งวิศวกรรมขนส่งและจราจร ยังไม่ได้ถูกกำหนดให้เป็นวิชาชีพควบคุมในประเทศไทย ดังนั้นจึงควรมีการเริ่มผลิตบุคลากรเฉพาะด้านนี้เพื่อให้พร้อมกับการถ่ายโอนภารกิจในอนาคต
ภายหลังจาก สว. ได้อภิปรายรายงานฉบับนี้อย่างกว้างขวางแล้ว ที่ประชุมวุฒิสภา มีมติเห็นชอบรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง “การถ่ายโอนภารกิจด้านการจราจรและการขนส่งให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ : กรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา พร้อมทั้งข้อเสนอแนะของ กมธ. การปกครองท้องถิ่น วุฒิสภา และมีมติให้ส่งไปยัง ครม. เพื่อดำเนินการต่อไป
ณัฐพล สงวนทรัพย์ ข่าว/เรียบเรียง