28 ต.ค.68-ที่ประชุมวุฒิสภา รับหลักการร่างกฎหมายสร้างเสริมสังคมสันติสุขฯ เดินหน้า “นิตินโยบาย” มุ่งนิรโทษกรรมผู้ชุมนุมที่มีเจตนาแสดงออกทางทางการเมือง หวังให้สังคมไทยกลับมาสามัคคีปรองดอง ด้าน สว.นรเศรษฐ์ห่วงการยกเว้นมาตรา 112 อาจเกิดความขัดแย้งระลอกใหม่

image

        ที่ประชุมวุฒิสภา ที่มีพลเอกเกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา คนที่สอง เป็นประธานการประชุม โดยมีวาระพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ. .... ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นชอบแล้ว โดยวุฒิสภาต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 60 วันนับแต่วันที่ร่างกฎหมายมาถึงวุฒิสภา สำหรับสาระสำคัญของร่างกฎหมายสร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ. .... มีหลักการสำคัญ 2 ประการ คือ 1. การให้พ้นจากความรับผิด โดยให้ผู้ที่ได้กระทำความผิดอันเนื่องมาจากการชุมนุมทางการเมืองและการแสดงออกทางการเมือง พ้นจากความรับผิดตามกฎหมาย และ 2. การเยียวยาแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง เนื่องจากตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยประสบปัญหาการแตกแยกของความคิดทางการเมืองอย่างรุนแรง และแบ่งแยกเป็นฝักเป็นฝ่ายไปทั่วประเทศ โดยมีการผลัดกันชุมนุมทางการเมืองของประชาชนที่ต่อต้านรัฐบาลที่เป็นฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง และจากความขัดแย้งดังกล่าวทำให้รัฐบาลบังคับใช้กฎหมายควบคุมการชุมนุมทางการเมืองอย่างเข้มงวด ส่งผลให้การชุมนุมหรือการแสดงออกทางการเมืองของประชาชนกลายเป็นการกระทำผิดต่อกฎหมาย ส่งผลถึงประชาชนที่เข้าชุมนุมหรือแสดงออกทางการเมือง ซึ่งรวมถึงผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วม แต่การกระทำมีมูลเหตุเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมือง แม้จะมีเจตนาที่ดีต่อบ้านเมือง หรือต้องการเห็นบ้านเมืองเดินหน้าไปได้ด้วยดี ก็อาจถูกดำเนินคดี ส่งผลให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยมีการใช้ความรุนแรง มีการกระทบกระทั่งทางอารมณ์ และเจ้าหน้าที่ของรัฐเลือกใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุม จนเป็นเหตุให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐจำนวนมากเกิดการบาดเจ็บล้มตาย ขณะที่ผู้ที่เข้าร่วมชุมนุมหรือแสดงออกทางการเมืองโดยบริสุทธิ์จำนวนมากต้องถูกจับกุมและดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญา แม้ว่าการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นนั้น ผู้เข้าร่วมชุมนุมส่วนหนึ่งมีเจตนาเพียงแค่ต้องการแสดงความเห็นต่างทางการเมือง และมิใช่เจตนาที่จะกระทำความผิดทางอาญาหากแต่เป็นการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง และถือเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ หรือเพื่อเรียกร้องต่อรัฐบาลเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว หรือเพื่อมีวัตถุประสงค์ที่จะกระทำผิดอาญา ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าวจึงสมควรที่จะตราเป็นกฎหมายดำเนินการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์หลายประการ ได้แก่ 1. การพ้นความรับผิดและปราศจากมลทิน โดยให้ประชาชนหรือบุคคลผู้ที่ต้องกลายเป็นผู้กระทำความผิดและต้องรับโทษอย่างรุนแรง  พ้นจากความรับผิดตามกฎหมายและปราศจากมลทินมัวหมอง 2. การสร้างสังคมสันติสุข เพื่อให้โอกาสกับประชาชนและสังคมไทยที่จะกลับมาอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ด้วยความสมัครสมานสามัคคีปรองดองของคนในชาติอีกครั้ง 3. การส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและสิทธิพลเมืองตามระบอบประชาธิปไตย อันเป็นการรักษาคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และ 4. การพัฒนาประเทศ เพื่อให้สังคมไทยกลับมาอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ตลอดจนสร้างเสริมสังคมสันติสุข และร่วมกันพัฒนาประเทศชาติให้มีความเจริญอย่างมั่นคงและยั่งยืนสืบไปด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงจำเป็นต้องตรา พ.ร.บ.ฉบับนี้

        นายเศก  จุลเกสร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมาธิการ กฎหมายและการยุติธรรม วุฒิสภา กล่าวถึงรายงานผลการพิจารณาศึกษา ร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ. .... ว่า หลักการของร่างกฎหมายฉบับนี้ เกี่ยวข้องกับการนิรโทษกรรมให้ประชาชนหรือบุคคลที่ได้กระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมืองและการแสดงออกทางการเมือง พ้นจากความรับผิดตามกฎหมาย รวมทั้งเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำดังกล่าวด้วย โดยมีเป้าหมายสูงสุด คือ การเปิดโอกาสให้ประชาชนและสังคมไทยสามารถกลับมาอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ด้วยความสามัคคีปรองดองของคนในชาติอีกครั้ง การนิรโทษกรรมบุคคลโดยการตรากฎหมายในครั้งนี้ ถือเป็นการดำเนินการในทางนิติโยบาย ของฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ อย่างไรก็ตาม กมธ.มีข้อสังเกตเกี่ยวกับร่างกฎหมายฉบับนี้ว่า องค์ประกอบของคณะกรรมการสร้างเสริมสันติสุขตามร่างมาตรา 4 ไม่มีสัดส่วนของกรรมการที่เป็นผู้แทนที่มาจากสมาชิกวุฒิสภา อีกทั้งยังไม่เปิดโอกาสให้บุคคลที่ไม่พอใจคำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการได้ใช้สิทธิอุทธรณ์หรือโต้แย้งคำสั่งดังกล่าว กมธ.จึงมีข้อเสนอแนะให้กำหนดช่องทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการให้สามารถอุทธรณ์หรือโต้แย้งคำสั่งของคณะกรรมการได้ เพื่อให้บรรยากาศของการสร้างสังคมปรองดองบรรลุตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย

        นายนรเศรษฐ์  ปรัชญากร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) อภิปรายถึงปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองของประเทศไทยว่าเป็นปัญหาที่ฉุดรั้งพัฒนาการทางการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชนในสังคมไทยมามากกว่า 20 ปี นับตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบัน มีการประท้วงใหญ่มาแล้วอย่างน้อย 9 ระลอก และมีการปราบปรามผู้ชุมนุมมาแล้ว 5 รอบใหญ่ โดยปี 2551 ม็อบพันธมิตรต่อต้านรัฐบาลพรรคพลังประชาชน ปี 2552 ม็อบ นปช. ออกมาต่อต้านรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ จนเกิดเหตุการณ์ “สงกรานต์เลือด”  ในเดือนเมษายน ปี 2553 เดือนพฤษภาคม เกิดเหตุการณ์ “พฤษภาคมเลือด” มีการสลายการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ นำไปสู่การสังหารหมู่กลางกรุงเทพฯ โดยมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 99 ราย ช่วงปี 2556–2557 ม็อบ กกปส. ต่อต้านรัฐบาลเพื่อไทย และนำไปสู่เหตุการณ์ “ชัตดาวน์กรุงเทพฯ” ซึ่งสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมาก และช่วงปี 2563–2564 ม็อบราษฎรและกลุ่มอื่น ๆ ออกมาเรียกร้องการแสดงออกทางการเมืองในช่วงรัฐบาลสมัย พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา เหตุการณ์ทั้งหมดส่งผลให้คนไทยเสียชีวิตหลักร้อย มีผู้บาดเจ็บเป็นพันคน และมีผู้ถูกดำเนินคดีเกือบครึ่งหมื่นหรืออาจจะมากกว่านั้น เศรษฐกิจไทยต้องสูญเสียไปกว่าหลายแสนล้านบาท และนอกจากความสูญเสียเชิงตัวเลขแล้ว สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนที่ถูกริบรอนไป วัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ และความเชื่อมั่นของประชาชนต่อสถาบันการเมืองในสังคมไทย

        นายนรเศรษฐ์ กล่าวถึง จากวิกฤตความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง จึงมีความจำเป็นต้องหา ฉันทามติของสังคม เพื่อให้ทุกคนอยู่ร่วมกันได้ โดยมองว่าการนิรโทษกรรม เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการแก้ไขปัญหาเพื่อนำไปสู่ความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน แต่ส่วนตัวมองว่า ร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุขฯ จะยังไม่นำไปสู่การแก้ปัญหาความขัดแย้งได้จริง และอาจนำไปสู่ความขัดแย้งระลอกใหม่ เนื่องจากร่างกฎหมายฉบับนี้ยังมีการนิรโทษกรรมแบบเลือกปฏิบัติ โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวกับ มาตรา 112 แต่กลับยอมให้มีการนิรโทษกรรมคดีที่ร้ายแรงกว่า เช่น คดีก่อกบฏ (มาตรา 113) การก่อการร้าย และคดีขัดขวางการเลือกตั้งซึ่งมีความร้ายแรงและเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมากกว่ามาก

        ด้านพลตำรวจโท บุญจันทร์  นวลสาย สมาชิกวุฒิสภา (สว.) อภิปรายเห็นด้วยกับการรับหลักการกฎหมายนี้ไว้พิจารณา แต่มีข้อกังวลและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการนิรโทษกรรม โดยไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมแบบเหมาทั้งหมด กฎหมายไม่ควรผ่านให้ทั้งหมดทุกกรณี เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาในอนาคต แต่ควรมีการพิจารณาว่า บุคคลใดสมควรที่จะได้รับอภัยโทษ หรือได้รับการลดโทษ หรือสามารถนิรโทษกรรมได้ที่ประชุมวุฒิสภาควรรับกฎหมายฉบับนี้ไว้พิจารณาแต่ไม่ใช่ให้ทั้งหมดทั้งมวล โดย ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 112

        ภายหลังจากสมาชิกวุฒิสภา ได้อภิปรายอย่างกว้างขวางแล้ว ที่ประชุมวุฒิสภา ได้มติร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ. .... ผลปรากฎว่า ที่ประชุมวุฒิสภา มีมติรับหลักการ ด้วยคะแนนเสียงเห็นด้วย 133 เสียง ไม่เห็นด้วย 2 เสียง และงดออกเสียง 2 เสียง พร้อมโดยตั้งคณะ กมธ.วิสามัญเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ. จำนวน 21 คน ได้แก่ สัดส่วนคณะรัฐมนตรี (ครม.) จำนวน 4 คนได้แก่ พ.ต.ต. สุริยา สิงหกมล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด นายสรพงษ์ ศรียานงค์ ที่ปรึกษาด้านการประสานกิจการความมั่นคง รักษาราชการแทนรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ นายเผ่าพันธ์ ชอบน้ำตาล รองเลขาธิการประธานศาลฎีกา และนางพิมพ์ประภา วัชรจิตร์กุล ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายกระบวนการยุติธรรมทางอาญา สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสัดส่วนวุฒิสภา ได้แก่ พล.ต.ท.บุญจันทร์ นวลสาย นายชัยธัช เพราะสุนทร นายเศก จุลเกสร นายพรชัย วิทยเลิศพันธุ์ นางกัลยา ใหญ่ประสาน นายสุนทร พฤกษพิพัฒน์ นางสาวอัจฉรพรรณ หอมรส นายสมหมาย ศรีจันทร์ นายนฤพล สุคนธชาติ พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร นายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ พล.ต.ต.รมย์สิทธิ์ วีริยาสรร นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย นายสามารถ รังสรรค์ นายสมบูรณ์ หนูนวล และนายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล โดยกำหนดแปรญัตติภายใน 7 วัน

 

ณัฐพล  สงวนทรัพย์  ข่าว/เรียบเรียง

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ