7 ธ.ค.68 - สส.มานพ พรรคประชาชน เผย สภาฯ ส่งร่าง พ.ร.บ.สวนป่าฯ ให้ ครม.แล้ว ขอ ครม. เร่งจัดทำร่าง พ.ร.บ.ประกบ สนับสนุนการเพิ่มพื้นที่ป่าเศรษฐกิจและมูลค่า GDP ของประเทศ

image

          นายมานพ คีรีภูวดล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่างถึงความคืบหน้าการผลักดันร่างพระราชบัญญัติสวนป่า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ว่า สภาผู้แทนราษฎรแห่งราษฎร ได้ส่งร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว ไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.) เรียบร้อยแล้วซึ่งจากนี้ต้องรอว่า ครม.จะเสนอร่างฯ มาประกบ หรือไม่  ซึ่งตามร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้มีการแก้ไขเพียงเล็กน้อย คือ มาตรา 3 เพิ่มเติมข้อความในส่วนที่ว่า ที่ดินรูปแบบใดที่รัฐอนุญาตให้ประชาชนอาศัย หรือใช้ประโยชน์ทำกิน สามารถนำมาสร้างสวนป่าได้ จากเดิมที่มีข้อจำกัดในรูปแบบที่ดิน ซึ่งจะต้องเป็นที่ดินมีเอกสารสิทธิ์เท่านั้น ซึ่งไม่สามารถสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรหันมาสร้างเศรษฐกิจจากป่าได้  ส่วนร่าง พ.ร.บ.ฉบับใหม่มีข้อยกเว้นหลายเรื่อง อาทิ สามารถทำโรงเลื่อยได้ และสามารถเคลื่อนย้ายไม้ออกจากพื้นที่ได้ การมีร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ยังสอดคล้องกับนโยบายป่าไม้แห่งชาติและแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) ได้กำหนดเป้าหมายให้ประเทศไทยควรมีพื้นที่ป่าไม้รวมอย่างน้อยร้อยละ 40 ของพื้นที่ประเทศโดยแบ่งเป็น ป่าอนุรักษ์ ร้อยละ 25 ป่าเศรษฐกิจ ร้อยละ 15 ซึ่งในส่วนของป่าเศรษฐกิจยังมีน้อยมาก

          นายมานพ กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนตัวมองเห็นศักยภาพของประเทศไทยในการสร้างเศรษฐกิจจากป่าไม้ในมิติที่กว้างกว่าการปลูกป่าแบบดั้งเดิม หากประเทศไทยเพิ่มพื้นที่ป่าเศรษฐกิจ จะสามารถสร้าง GDP ของประเทศเพิ่มขึ้นถึง 0.5% และหากนำไม้มาแปรรูปเป็นเฟอร์นิเจอร์จะสามารถสร้างมูลค่าได้อย่างมหาศาล อย่างเช่นประเทศญี่ปุ่นที่มีรายได้จากไม้สน ซึ่งเป็นไม้เศรษฐกิจของประเทศ ส่วนข้อกังวลเรื่องการบุกรุกพื้นที่ป่าและทำลายทรัพยากรป่าไม้ที่เป็นผลพวงจากกฎหมายดังกล่าว ขอยืนยันว่า การสร้างสวนป่าไม่ได้ทำลายทรัพยากรป่าไม้ แต่กลับเป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียวและสร้างเศรษฐกิจให้กับประเทศอย่างมหาศาล ไม่ต้องกังวลเรื่องการส่งออก เนื่องจากอุตสาหกรรมไม้แปรรูปเป็นที่นิยมอย่างมากในตลาดโลก ซึ่งจะเป็นหน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรมที่จะต้องเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการ เพื่อวางแผนการผลิตไม้แปรรูปในแต่ละปี พร้อมเห็นว่า หากรัฐบาลเห็นความสำคัญควรเสนอร่างกฎหมายเข้ามาประกบเมื่อเปิดประชุมสมัยสามัญ โดยการดำเนินการที่เร็วที่สุด คือ การตั้งคณะกรรมาธิการเต็มสภาร่วมพิจารณาในวาระ 2-3 จะสามารถบังคับกฎหมายใช้ได้ทันในสมัยประชุมนี้ เนื่องจากร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบเชิงลบต่อทั้งประชาชน ภาครัฐ และหน่วยงานเอกชน ไม่มีฝ่ายใดเสียประโยชน์ หากไม่ดำเนินการในลักษณะนี้ กฎหมายจะต้องตกไปและต้องเสนอเข้ามาใหม่ในสมัยหน้า จึงขอให้คณะรัฐมนตรีเร่งนำร่างกฎหมายของรัฐบาลเข้ามาประกบ โดยเข้าใจว่ากรมป่าไม้ได้เตรียมร่างกฎหมายไว้เรียบร้อยแล้ว

 

อรุณี ตันศักดิ์ดา ข่าว/เรียบเรียง

เฟซบุ๊ก Manop Keereepuwadol-มานพ คีรีภูวดล/ภาพ

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ