นายธวัช สุระบาล ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา เป็นประธานการประชุม กมธ. ในการพิจารณาปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ โดยเชิญอธิบดีกรมประมง อธิบดีกรมปศุสัตว์ ผู้ประกอบการโรงงานปลาป่น และนายกสมาคมผู้ผลิตปลาป่น เพื่อหารือถึงแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยพบว่า ปลาหมอคางดำมีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา สามารถวางไข่ได้ตั้งแต่อายุ 3 เดือนและวางไข่ได้ตลอดปีทั้งในน้ำจืดและน้ำกร่อย กินทั้งพืชและสัตว์เป็นอาหาร โดยมีการแพร่ระบาดรุนแรงในต่างประเทศ อาทิ รัฐฟลอริดาและฮาวายในสหรัฐอเมริกา และฟิลิปปินส์ ซึ่งในสหรัฐอเมริกา ใช้วิธีกำจัดทางกายภาพ โดยใช้ตาข่ายจับปลาเพื่อลดจำนวนประชากรปลาหมอคางดำ การเฝ้าระวังการรุกรานลงแหล่งน้ำ ส่วนฟิลิปปินส์ ใช้มาตรการส่งเสริมให้ประชาชนจับมาปรุงเป็นอาหารและการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ เช่น ทำปลาป่นเป็นอาหารสัตว์ หรืออาหารกระป๋อง ส่วนประเทศไทย พบการแพร่ระบาดใน 18 จังหวัด กรมประมงได้จัดทำระบบเฝ้าระวังผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์และติดตามตรวจสอบแหล่งน้ำธรรมชาติใน 21 จังหวัด รวม 205 แหล่งน้ำทุกเดือน นอกจากนี้ยังมีมาตรการการเยียวยา เกษตรกรในเขตบางขุนเทียนและทุ่งครุ กรุงเทพฯ จำนวน 726 ราย พื้นที่กว่า 3,500 ไร่ ได้รับการช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยกรณีฉุกเฉินฯ เป็นวงเงินรวมกว่า 41 ล้านบาท
ประธาน กมธ.การเกษตรฯ กล่าวด้วยว่า ผู้แทนจากกรมปศุสัตว์ยืนยันว่าปลาหมอคางดำมีโปรตีนเกิน 40% สามารถนำมาทำปลาป่นได้ตามมาตรฐานกฎหมายควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. 2558 และพร้อมจัดหาโรงงานผลิตเพิ่มเติม แต่พบข้อจำกัด คือ โรงงานผลิตอาหารสัตว์ต้องการโปรตีนสูง ถึง 50 - 60% และการส่งออกไปยังบางประเทศ เช่น จีน อาจมีเงื่อนไขห้ามผสมปลาน้ำจืดเนื่องจากความกังวลเรื่องสารปฏิชีวนะตกค้างในปลาที่มาจากบ่อเลี้ยง ด้านสมาคมผู้ผลิตปลาป่น ชี้แจงว่า โรงงานปลาป่นสามารถรับซื้อปลาหมอคางดำ ได้ในราคา 3 - 4 บาทต่อกิโลกรัม แต่ยังไม่จูงใจประชาชนให้จับมาขาย ปัจจุบัน การแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในจังหวัดสมุทรสาคร ลดลงเนื่องจากชาวบ้านนำไปบริโภคหรือขายในตลาดสดได้ราคาสูงกว่า ประมาณ 25 - 30 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ ที่ประชุม กมธ. ได้เน้นย้ำให้กรมประมง ปรับการทำงานเชิงรุกและให้ความรู้กับประชาชนเพื่อเปลี่ยนภาพลักษณ์ของปลาหมอคางดำให้กลับมาเป็นที่ยอมรับ
ณัฐพล สงวนทรัพย์ ข่าว/เรียบเรียง
