31 ธ.ค. 68 – สว.พละวัต ระบุการยุบสภาผู้แทนราษฎรส่งผลให้การพิจารณาร่างกฎหมายอากาศสะอาดต้องชะลอ แม้วุฒิสภาจะพิจารณาไปแล้วอย่างคืบหน้า ย้ำหากรัฐบาลชุดใหม่นำร่างกลับมาพิจารณาต่อ วุฒิสภาพร้อมเดินหน้าทันที แต่หากสองสภาเห็นต่าง อาจทำให้กระบวนการล่าช้า ไม่ทันรับมือปัญหามลพิษทางอากาศในช่วงหน้าแล้งปี 2569 

image

        นายพละวัต ตันศิริ เลขานุการคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. …. วุฒิสภา ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าววิทยุและโทรทัศน์รัฐสภา ถึงผลกระทบจากการยุบสภาผู้แทนราษฎรต่อการพิจารณาร่างกฎหมายอากาศสะอาดว่าภายหลังการยุบสภา ร่างกฎหมายทุกฉบับถือว่าตกไปตามรัฐธรรมนูญ ต้องรอให้มีการเลือกตั้ง สส. เป็นการทั่วไป และให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศรับรองผลภายในกรอบเวลา 60 วัน จากนั้นเมื่อมีรัฐบาลชุดใหม่ หากคณะรัฐมนตรีมีมตินำร่างกฎหมายใดกลับเข้าสู่การพิจารณา ร่างกฎหมายนั้นจะสามารถดำเนินการต่อจากจุดเดิมได้ทันที
         นายพละวัต ระบุว่า ในกรณีร่างกฎหมายอากาศสะอาด วุฒิสภาได้พิจารณาผ่านคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ไปแล้วในหลายประเด็น มีความคืบหน้าอย่างมาก โดยตามแผนเดิมคาดว่าจะสามารถเสนอให้ที่ประชุมวุฒิสภาพิจารณาได้ในช่วงกลางเดือนมกราคม 2569 แต่เมื่อมีการยุบสภา ทำให้การพิจารณาในรายละเอียดทั้งหมดต้องหยุดชะงักลง ทั้งนี้ ร่างกฎหมายอากาศสะอาดเป็นร่างกฎหมายขนาดใหญ่ มีจำนวนมากกว่า 270 มาตรา และยังมีประเด็นที่เห็นต่างกันอยู่ราว 5 - 70 มาตรา ทั้งในส่วนที่กรรมาธิการมีความเห็นไม่ตรงกัน และในส่วนของผู้แปรญัตติ ก่อนหน้านี้ คณะกรรมาธิการฯ อยู่ระหว่างการพิจารณารายมาตรา และเตรียมเชิญผู้แปรญัตติมาชี้แจงเพิ่มเติม โดยมีบางประเด็นที่ได้ข้อยุติไปแล้วกว่า 10 มาตรา เช่น โครงสร้างคณะกรรมการอากาศสะอาดระดับชาติและระดับจังหวัด ประเด็นผู้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ ระหว่างผู้ว่าราชการจังหวัดกับนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รวมถึงเรื่องกองทุนอากาศสะอาด
        นายพละวัต กล่าวต่อไปว่าหากรัฐบาลชุดใหม่นำร่างกฎหมายอากาศสะอาดกลับเข้าสู่กระบวนการพิจารณาอีกครั้ง และในกรณีที่วุฒิสภามีการแก้ไขเนื้อหาบางส่วนแตกต่างจากที่สภาผู้แทนราษฎรเคยพิจารณาไว้ จะต้องตั้งคณะกรรมาธิการร่วมของสองสภาเพื่อหาข้อยุติ และเมื่อได้ข้อสรุปร่วมกันแล้ว ทั้งสองสภาจะต้องนำร่างกลับไปให้ความเห็นชอบอีกครั้ง ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อประกาศใช้เป็นกฎหมาย อย่างไรก็ตาม หากสองสภาไม่สามารถตกลงกันได้ ร่างกฎหมายฉบับนี้อาจต้องใช้เวลายืดเยื้อออกไปอีกหลายเดือน ซึ่งมีความเสี่ยงว่าจะไม่สามารถประกาศใช้ได้ทันช่วงหน้าแล้งปี 2569 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยเผชิญปัญหามลพิษทางอากาศรุนแรงเป็นประจำทุกปี โดยหากพิจารณาตามกรอบเวลา คาดว่าจะได้รัฐบาลชุดใหม่ราวเดือนพฤษภาคม 2569 และกว่ากระบวนการทางกฎหมายจะแล้วเสร็จ อาจยืดไปถึงช่วงเดือนสิงหาคม
         นายพละวัต ย้ำว่า วุฒิสภาเห็นความสำคัญของร่างกฎหมายอากาศสะอาด และเห็นว่ามีวัตถุประสงค์ที่ดีต่อประชาชน แต่สิ่งที่วุฒิสภาให้ความสำคัญไม่แพ้กัน คือ การทำให้กฎหมายฉบับนี้สามารถบังคับใช้ได้จริง มีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศอย่างยั่งยืน สำหรับช่วงเปลี่ยนผ่านที่ยังไม่มีสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่ นายพละวัต ระบุว่า การแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศจำเป็นต้องอาศัยกลไกกฎหมายที่มีอยู่ควบคู่ไปกับการติดตามกำกับของคณะกรรมาธิการสามัญของวุฒิสภาที่เกี่ยวข้อง อาทิ คณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะกรรมาธิการการต่างประเทศ และคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการศึกษาวิเคราะห์และเสนอข้อแนะในประเด็นมลพิษทางอากาศ ทั้งปัญหาฝุ่นข้ามแดนและการปล่อยมลพิษจากภาคอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง

ณัฐเดช เอียดปุ่ม  ข่าว/เรียบเรียง

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ