นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานกรรมการด้านการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊กระบุถึงปัญหาราคาข้าวไทยในขณะนี้ว่า วังวนเรื่องข้าว คือ โจทย์ใหญ่ที่รัฐยังแก้ไม่ตก ผลผลิตต่อไร่ต่ำ แต่ราคาขายแพงกว่า จะสู้อย่างไร ตนเห็นราคาข้าวในช่วงที่ผ่านมาหลังอินเดียประกาศจะส่งออกเพื่อชิงส่วนแบ่งทางการตลาดข้าวกลับคืน ราคาตกในพริบตา อินเดียกลับมาทวงคืนความเป็นเจ้าตลาดข้าวอีกครั้ง ซึ่งข้าวที่ส่งออกส่วนใหญ่ไม่ใช่ข้าวบาสมาติ (Basmati) แต่ 77% เป็นข้าวขาว เหมือนกับไทยที่ส่งออกข้าวส่วนใหญ่ไม่ใช่ข้าวหอมมะลิ แต่เป็นข้าวขาว เมื่ออินเดียประกาศจะกลับมาส่งออก ส่งผลให้ราคาข้าวไทยชะงักทุกที
นายสนธิรัตน์ ระบุต่อว่า ตนมองว่าคำตอบของภาครัฐที่บอกว่าราคาข้าวตก เพราะอินเดียกลับมาส่งออกนั้น มีน้ำหนักที่จะรับฟังได้ไม่เพียงพอ เพราะการหาตลาดแบบที่กระทรวงพาณิชย์พยายามทำอยู่นั้น คือการแก้ที่ปลายเหตุแล้ว ประเด็นหลัก คือ ราคาข้าวขาวของไทยที่แพงกว่าประเทศอื่น เช่น ข้าวขาว 5% ไทยราคา 424 เหรียญต่อตัน เวียดนาม ราคา 392-396 เหรียญ/ตัน อินเดีย 403-407 เหรียญต่อตัน ขณะที่ข้าวขาว 25% ไทยราคา 411 เหรียญต่อตัน ขณะที่เวียดนาม 370 เหรียญต่อตัน อินเดีย 390 เหรียญต่อตัน ซึ่งตลาดข้าวขาวแข่งกันด้วยราคาล้วน ๆ ตลาดดั้งเดิมอย่างฟิลิปปินส์ ไทยเสียแชมป์ให้กับเวียดนามไปด้วยเหตุผลด้านราคา หากราคาดี ต่อให้เจอประกาศส่งออกก็พอที่จะรักษาลูกค้าตลาดข้าวได้อยู่บ้าง ซึ่งปัญหาด้านราคา คือ ต้นทุนที่ยังไม่ลด ผลผลิตต่อไร่ก็ยังไม่สูง โดยผลผลิตต่อไร่เฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 400-600 กิโลกรัมต่อไร่ ขณะที่คู่แข่งเวียดนาม อินเดีย ผลผลิตต่อไร่เฉลี่ยอยู่ที่ 600-900 กิโลกรัมต่อไร่ หรือบางสายพันธุ์พัฒนาไปแล้วให้ผลผลิตเกินกว่า 1,000 กิโลกรัมต่อไร่ ซึ่งยังไม่รวมพันธุ์ข้าวพื้นนุ่มที่เป็นที่ต้องการของตลาดเอเชีย ซึ่งไทยมีเพียง 17 สายพันธุ์ที่รองรับโดยกรมการข้าว ขณะที่ข้าวพื้นแข็งมี 57 สายพันธุ์ ส่วนตลาดข้าวหอมมะลิที่เป็นตลาดเฉพาะถูกท้าทายพอสมควรหลังเวียดนามพัฒนาพันธุ์ข้าวเจาะตลาดเฉพาะอย่างสายพันธุ์ ST ให้ผลผลิตสูงกว่า 1,000 กิโลกรัมต่อไร่
นายสนธิรัตน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ลำพังหาตลาดไม่พอ ต้องสู้กว่านี้ หากอยากจะแข่งขันได้ ผู้ผลิตกับผู้ขายต้องทำหน้าที่สอดรับในทิศทางเดียวกัน ไม่เช่นนั้นเหนื่อยอย่างแน่นอน มากไปกว่านั้นสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) แจ้งตัวเลขประมาณการปีนี้ 34.87 ล้านตันข้าวเปลือก หรือ 22 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 4% ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องรับมืออย่างดี ก่อนที่ปัญหาจะลุกลามวนมาอีกรอบ
ทัดดาว ทองอิ่ม ข่าว / เรียบเรียง