พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง พร้อมด้วย พลเอกสวัสดิ์ ทัศนา ประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา พร้อมคณะ ร่วมกันแถลงข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา
พลเอก สวัสดิ์ กล่าวว่า คณะกรรมาธิการ(กมธ.)การทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา ได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 2 เสนอให้มีการเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติ ตามมาตรา 153 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อให้คณะรัฐมนตรีแถลงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมเสนอแนวทางการคลี่คลายสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อให้รัฐบาลนำไปเป็น ข้อพิจารณาประกอบการตัดสินใจในการแก้ปัญหา สืบเนื่องจากเหตุการณ์กระทบกระทั่งบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28พฤษภาคม 2568 ฝ่ายกัมพูชาในฐานะผู้กระทำที่ไร้ความจริงใจ และบ่อนทำลายประเทศไทยด้วยสารพัดวิธี เพื่อหวังครอบครองแผ่นดินไทยเป็นของตนเองเรื่อยมา ซึ่งคณะกรรมาธิการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา ได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 1 ประณามการกระทำที่ขาดความจริงใจ ไร้ความเป็นมิตรเยี่ยงประเทศเพื่อนบ้านพึงมีต่อกันของฝ่ายกัมพูชา เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 ไปแล้วนั้น
คณะกรรมาธิการฯ ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมประชาชน เจ้าหน้าที่ และหน่วยทหารในแนวชายแดนที่ปฏิบัติหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติตามแนวชายแดนด้วยความเข้มแข็ง กับได้เห็นและรับทราบจากประชาชนในพื้นว่า พวกเขาพร้อมรับสถานการณ์การสู้รบแล้ว คณะกรรมาธิการฯขอสนับสนุนและขอแสดงความเชื่อมั่นต่อกองทัพภาคที่ 2 และกองกำลังสุรนารีว่าได้ดำเนินการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนไทยในทิศทางที่เหมาะสมแล้ว และจากสภาพปัญหาอันสลับซับซ้อนและความตึงเครียดที่สะสมมาเป็นระยะเวลายาวนาน การดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับแนวชายแดนไทย-กัมพูชา จึงต้องการรายละเอียดและการปฏิบัติอย่างรอบคอบ เพื่อให้ได้ข้อมูลครบทุกด้าน คณะกรรมาธิการฯ จึงได้จัดการถกแถลงทางวิชาการในประเด็น เราจะรักษาแผ่นดินไทยอย่างไร ร่วมกับนักวิชาการ เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ที่ผ่านมา เพื่อรวบรวมข้อมูลประกอบการพิจารณาสถานการณ์ ซึ่งการถกแถลงเพื่อรักษาแผ่นดินไทย เป็นการเน้นย้ำว่า ปราสาททั้งหลายที่อยู่บริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ล้วนอยู่ในความครอบครองของไทยมาหลายร้อยปี จนกล่าวได้ว่าไทยเป็นเจ้าของ ไม่ว่าจะเป็นปราสาทเขาพระวิหาร ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย ฯลฯ แต่การที่เราแพ้คดีในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลก ถึง 2 ครั้งจากความไม่เที่ยงธรรมที่เกิดขึ้น ดังนั้นเราจะไม่ยอมเสียดินแดนในศาลโลก เป็นครั้งที่ 3 อีก
พลเอก สวัสดิ์ กล่าวต่อว่า นอกจากความไม่ไว้วางใจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลกแล้ว ในแถลงการณ์ฉบับที่ 1 คณะกรรมาธิการฯ เน้นย้ำการเรียกร้องให้รัฐบาลต้องดำเนินการทุกหนทาง เพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทยอย่างเต็มขีดความสามารถ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก เพราะเวลานี้หัวใจของประชาชนคนไทย ยอมรับแล้วว่า ผู้นำรัฐบาลด้อยความสามารถ ขาดภาวะผู้นำ แม้จะมีความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวกับฝ่ายกัมพูชา แต่ไม่ได้ช่วยให้รัฐบาลไทย พูดจาอะไรได้สำเร็จแม้แต่เรื่องเดียว ขณะที่กัมพูชามีผู้บริจาคเงินเข้ากองทุนชาตินิยม แต่ผู้นำรัฐบาล กลับไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ หากปล่อยให้รัฐบาลดำเนินการแก้ไขปัญหาไปตามอำเภอใจ อาจกระทบต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของชาติ นอกจากนี้ ยังได้แสดงความไม่ไว้วางใจต่อกระบวนการของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลใช้กลไกของอาเซียน ในการจัดการปัญหาพิพาทเขตแดนกับกัมพูชา โดยอิงหลักสันติภาพ เสรีภาพ และความเป็นกลางตามแนวทาง ZOPFAN (Zone of Peace, Freedom and Neutrality) คณะกรรมาธิการฯ ยังได้ตั้งข้อสังเกตถึงกรณีการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ครั้งที่ 6 ที่เพิ่งเกิดขึ้น ณ กรุงพนมเปญ โดยเห็นว่าฝ่ายไทยไม่ได้รับประโยชน์ชัดเจนจากการเจรจาครั้งนี้ และมีความล่าช้าในการตอบสนองเชิงนโยบายจากฝ่ายบริหาร พร้อมย้ำว่า วุฒิสภา มีหน้าที่หลักประการหนึ่ง นอกเหนือจากการกลั่นกรองกฎหมาย คือ การควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน วุฒิสภามีสิทธิเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อให้คณะรัฐมนตรีแถลงข้อเท็จจริงหรือชี้แจงปัญหา ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 153 ดังนั้นคณะกรรมาธิการฯ ต้องอาศัยอำนาจตามบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 153 ที่กำหนดให้ สมาชิกวุฒิสภาจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา มีสิทธิเข้าชื่อขอเปิดอภิปรายทั่วไปในวุฒิสภาเพื่อให้คณะรัฐมนตรีแถลงข้อเท็จจริงหรือชี้แจงปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินโดยไม่มีการลงมติ เพื่อเปิดโอกาสให้สมาชิก วุฒิสภา ได้เสนอแนวคิดและแนวทางในการคลี่คลายสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อให้รัฐบาลได้นำไปเป็นข้อพิจารณาประกอบการตัดสินใจโดยเร็ว ต่อไป
พลเอก สวัสดิ์ กล่าวช่วงท้ายว่า จากเหตุการณ์ต่าง ๆ และสถานการณ์บ้านเมืองที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน การที่ผู้นำรัฐบาล คือ นายกรัฐมนตรี ขาดความน่าเชื่อถือ ส่งผลกระทบในทางลบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรณีปัญหาแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งกระทบต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย หากปล่อยปละละเลยให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีดำเนินการแก้ไขเรื่องนี้ ตามอำเภอใจ อาจทำให้อธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนของไทยถูกรุกล้ำและยึดครอง จึงสมควรเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อให้คณะรัฐมนตรีแถลงข้อเท็จจริงหรือชี้แจงปัญหาโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการฯ จะเสนอหนังสือต่อประธานวุฒิสภา เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนรัฐธรรมนูญ และยืนยันความมุ่งมั่นในการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ ว่าคณะกรรมาธิการฯ ตระหนักในบทบาท หน้าที่ และความรับผิดชอบ ต่ออธิปไตยและความมั่นคงของชาติ โดยจะทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติและประชาชนคนไทย ให้ดีที่สุด
อรพรรณ ขันทองคำ ข่าว/เรียบเรียง