29 ก.ค.68- รองประธานวุฒิสภาคนที่หนึ่ง ห่วงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมระดมความช่วยเหลือทหารแนวหน้าและประชาชนในศูนย์พักพิงชั่วคราว มองไทยได้เปรียบเจรจาหลังยึดพื้นที่สำคัญคืนมาได้ แต่รัฐบาลต้องยึดผลประโยชน์ชาติเป็นหลัก ย้ำทหารและพลเรือนที่สละชีวิต ต้องไม่สูญเปล่า

image

        พลเอกเกรียงไกร  ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ความรุนแรงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า ขณะนี้ การปฏิบัติการทางทหารยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะมีการทำข้อตกลงหยุดการโจมตีระหว่างกันโดยไม่มีเงื่อนไข นับตั้งแต่เวลา 24.00 น. ของเมื่อคืนวานนี้ (28 ก.ค.68) แต่ผลปรากฎว่ายังมีเหตุปะทะกันเป็นระยะ ดังนั้น ทางวุฒิสภาได้ตระหนักถึงการดูแลให้ความช่วยเหลือประชาชนและเจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในแนวหน้าได้อย่างไร ในวันนี้ (29 ก.ค.68) ที่ประชุมวุฒิสภา ได้ประชุมลับเพื่อหารือถึงสถานการณ์ดังกล่าวเพื่อที่จะจัดทำข้อเสนอแนะไปยังรัฐบาลต่อไป โดยวุฒิสภาได้ประสานงานกับภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึง สว. ได้มีการระดมทุนมอบสิ่งของให้กับศูนย์พักพิงชั่วคราว และวันนี้ วุฒิสภาได้ประสานกับสถาบันพยาธิวิทยา กรมการแพทย์ทหารบก และศูนย์บริจาคโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เพื่อรับบริจาคโลหิตจากข้าราชการ และบุคลากรในวงงานรัฐสภา และจะนำโลหิตที่ได้ไปให้ความช่วยเหลือทหารและประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบในพื้นที่ต่อไป

        พลเอกเกรียงไกร กล่าวถึงปฏิบัติการทางทหารเมื่อคืนนี้ว่า ทหารไทยสามารถยึดพื้นที่สำคัญไว้ได้ ซึ่งจะทำให้ไทยได้เปรียบในการเจรจากับทางการกัมพูชา แต่การปกป้องพื้นที่ดินแดนไทยก็ย่อมเกิดความสูญเสียตามมา ซึ่งกองทัพบกยืนยันเป้าหมายชัดเจนว่าจะไม่ให้ส่งผลกระทบต่อพลเรือนกัมพูชา ต่างจากฝ่ายทหารกัมพูชาที่มีการโจมตีแบบซ่อนเร้น เห็นได้จากโรงพยาบาล และโรงเรียนของไทยที่ได้รับความเสียหายจากปฏิบัติการทางทหารของกัมพูชา ซึ่งทำให้พลเรือนได้รับผลกระทบ ซึ่งการที่ทหารแนวหน้าได้ทำหน้าที่เสียสละชีวิตปกป้องดินแดนของไทยในจุดสำคัญ อาทิ ภูมะเขือ และปราสาทตาควาย กลับคืนมาเนื่องจากมีความจำเป็นทางยุทธศาสตร์และเป็นภูมิประเทศที่สำคัญที่จะทำให้เกิดความได้เปรียบในการปฏิบัติการทางทหาร ซึ่งอยู่ในแผนป้องกันชายแดนของไทย

         ตอบข้อถามผู้สื่อข่าวถึงผลการประชุมนัดพิเศษเกิดขึ้นที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวานนี้ (28 ก.ค.68) โดยมีนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเชีย ในฐานะประธานอาเชียน เป็นผู้ประสานงานและอำนวยความสะดวก และฝ่ายไทย มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำคณะและนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยมีข้อตกลงให้หยุดยิงทันที และไม่มีเงื่อนไข จะถือว่ามีสัญญาณเชิงบวกกับสถานการณ์ดังกล่าวหรือไม่ นั้น รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง กล่าวว่า ความขัดแย้งทุกครั้งที่เกิดขึ้นต้องจบลงที่การเจรจาไม่ได้จบที่การตอบโต้กันบนซากปรักหักพัง การเจรจาถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี แต่ก็ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลว่า จะสามารถรักษาผลประโยชน์ของชาติได้มากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะการยึดเขตแดนตามแผนที่อัตราส่วน 1 ต่อ 50,000 ซึ่งเป็นไปตามหลักการสากล ซึ่งละเอียดมากกว่าแผนที่อัตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ที่ทางกัมพูชาต้องการถึง 4 เท่า รวมถึงการทบทวนว่าจะถึงขั้นยกเลิกบันทึกข้อตกลง (MOU) 2543 และ MOU 2544 ด้วยหรือไม่ ดังนั้น รัฐบาลจะต้องเจรจาโดยยึดผลประโยชน์ของชาติอย่างรอบคอบและรัดกุมเพื่อประโยชน์ของชาติเป็นหลัก เพราะไทยได้สูญเสียชีวิตประชาชนและกำลังทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนไปแล้วต้องไม่สูญเปล่า

 

ณัฐพล สงวนทรัพย์ ข่าว/เรียบเรียง

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ