30 ก.ค. 68 - กมธ.พัฒนาการเมืองฯ วุฒิสภา จัดเวทีสาธารณะถกทิศทางร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ "นิกร" ฟันธงศาลรัฐธรรมนูญให้จัดทำประชามติ 3 ครั้ง ขณะที่ "จุลพงศ์" ชี้ควรจัดทำประชามติพร้อมเลือกตั้งใหม่ต้นปีหน้า ด้าน "พิสิษฐ์" ค้านจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ รับได้หากต้องการแก้ไข

image

          นายนิฟาริด ระเด่นอาหมัด รองประธานกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา เป็นประธานเปิดการเสวนา "เสียงประชาชนเขียนอนาคต เวทีสาธารณะว่าด้วยรัฐธรรมนูญฉบับพลเมือง"
          นายนิฟาริด กล่าวว่า การเสวนาครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อกระตุ้นให้สังคมและสาธารณะเห็นถึงความสำคัญของรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน และกระบวนการได้มาซึ่งสภาร่างรัฐธรรมนูญ พร้อมทั้งเป็นพื้นที่นำเสนอผลงานการลงพื้นที่ของคณะกรรมธิการ คณะอนุกรรมธิการ และคณะทำงาน จากการลงพื้นที่รับฟังความความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ
          ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการฯ ได้เห็นความสำคัญของการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน โดยเฉพาะประเด็นของการมีส่วนร่วมต่อกระบวนการได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่กระบวนการมีส่วนร่วมผ่านสภาร่างรัฐธรรมนูญ กระบวนการมีส่วนร่วมการทำประชามติหรือการจัดทำเวทีสาธารณะ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ล้วนเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะนำไปสู่การพัฒนาทางการเมือง และการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างถ้วนหน้าและเสมอภาค
          จากนั้นเป็นการเสวนาในหัวข้อ "รัฐธรรมนูญใหม่เอาไงต่อ?" โดยนายนิกร จำนง อนุกรรมาธิการพัฒนาการเมือง วุฒิสภา ได้กล่าวว่าที่ผ่านมาเสียเวลาไปกี่ปีกับการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งเป็นเวลาสูญเปล่า เพราะหลายฝ่ายต้องการทำให้เร็ว แต่กลับทำให้กระบวนการล่าช้า ซึ่งตนขอติงศาลรัฐธรรมนูญ ในประเด็นการวินิจฉัยที่ล่าช้า เนื่องจากในสมัยที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน เคยยื่นใช้กระบวนการเพียง 30 วัน แต่การยื่นตีความการทำประชามติ โดยนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และนายแพทย์ เปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกวุฒิสภา ใช้เวลายาวนานกว่า 3 เดือน ซึ่งจะมีการวินิจฉัยในวันที่ 10 กันยายน นี้
          นายนิกร ยังกล่าวว่า ในวันที่ 10 กันยายน นี้ ตนเชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยว่าจะต้องจัดทำประชามติ รวม 3 ครั้ง จากนั้นตนจะปรึกษานายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี ให้นำมติคณะรัฐมนตรีที่ค้างอยู่ออกมา แล้วตั้งคำถามต่อประชาชน แล้วหารือกับ กกต. และสำนักงบประมาณเพื่อจัดทำประชามติ โดยใช้งบประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ กกต.ได้ยกร่างกฎหมายลูกเตรียมไว้แล้ว โดยออกมาเป็นมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งในระหว่างนั้นสภาจะอยู่หรือไม่อยู่ก็ไม่เกี่ยวเนื่องกัน จึงคาดว่าประชาชนจะได้ทำประชามติในห้วงเดือนมกราคมปีหน้า ต่อจากนั้นพรรคการเมืองจะเข้าสู่โหมดการเลือกตั้ง และตนเชื่อว่าทุกพรรคการเมืองจะหาเสียงให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เช่นเดียวกันหมด ไม่ว่าพรรคใดเป็นรัฐบาลก็จะต้องทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่กันหมด
          ขณะที่นายจุลพงศ์ อยู่เกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน คาดหวังว่า การจัดทำประชามติกับการเลือกตั้งจะทำได้ในครั้งเดียว และควรจะทำในช่วงไตรมาสแรกของปี 2569 ซึ่งขั้นตอนแรกก็คือการยื่นญัตติให้สภาผู้แทนราษฎรมีมติให้มีการจัดทำประชามติ เปรียบได้กับการที่อย่างน้อยมีน้ำครึ่งแก้ว ก็ยังดีกว่าไม่มีน้ำในแก้ว      
          ด้านนายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ สมาชิกวุฒิสภา ได้ตั้งคำถามว่าเหตุใดถึงไม่คิดแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่คิดที่จะร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และตนได้ยินมาตลอดว่าประชาชนเสียประโยชน์ ตนจึงตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการเสียประโยชน์อย่างไร ในเมื่อหากต้องการถอดถอนนายกรัฐมนตรี ประชาชนก็มีสิทธิ์ที่จะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ และศาลรัฐธรรมนูญก็สามารถวินิจฉัยได้เลย สะท้อนว่าสำหรับรัฐธรรมนูญฉบับนี้อำนาจของประชาชนนั้นล้นฟ้า ตนจึงไม่เข้าใจว่าทุกวันนี้ติดปัญหาในส่วนใดถึงต้องการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ตนยินดีหากมีความต้องการแก้ไข
          ส่วนนางสาวนันทนา นันทวโรภาส สมาชิกวุฒิสภา ยืนยันว่า ขณะนี้เป็นโมงยามแห่งการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เนื่องจากสภาผู้แทนราษฎรได้เห็นชอบประชามติชั้นเดียว ซึ่งจริง ๆ แล้ว การจัดทำประชามติไม่จำเป็นต้องรอการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 10 กันยายน แต่สามารถเริ่มจัดทำประชามติครั้งแรกได้เลยในตอนนี้ หากการยกร่างรัฐธรรมนูญเร็วมากขึ้นเท่าใด หายนะของประเทศชาติก็น้อยลงไปเท่านั้น

ทัดดาว ทองอิ่ม ข่าว / เรียบเรียง

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ