คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่อง สื่อจะนำเสนออย่างไร เมื่อไทยอยู่ใจกลางความขัดแย้ง ณ ห้องประชุมสัมมนา 607 ชั้น 6 อาคารรัฐสภา มีผู้เข้าร่วมประกอบด้วยคณะ กมธ. และผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรวิชาชีพสื่อสารมวลชน องค์กรภาคประชาสังคม อาทิ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) นำโดย ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. กรมกิจการเด็กและเยาวชน กรมการปกครอง สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ อมรินทร์ ทีวี สถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย NBT มหาวิทยาลัยศรีปทุม และบริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด มหาชน มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจและตระหนักถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของการนำเสนอข่าวสารในสื่อทีวีดิจิทัลไทย ที่มุ่งเน้นความเร้าอารมณ์และเรตติ้ง ตลอดจนวิเคราะห์ผลกระทบต่อคุณภาพเนื้อหา จริยธรรมวิชาชีพ และบทบาทของสื่อมวลชนในการนำเสนอข้อมูลเชิงลึก เพื่อสร้างการอภิปรายอย่างมีเหตุผล อันจะนำไปสู่การกำหนดแนวทางพัฒนาการทำงานของสื่อให้สมดุลระหว่างผลประโยชน์ทางธุรกิจกับความรับผิดชอบต่อสังคม
โอกาสนี้ นางสาวภคมน หนุนอนันต์ กมธ. กล่าวเปิดการสัมมนา โดยระบุถึงความเปลี่ยนแปลงของการนำเสนอข่าวสารในปัจจุบันที่สังคมตั้งคำถามถึงบทบาทของสื่อมวลชนซึ่งมุ่งนำเสนอข่าวในลักษณะเป็นการขยี้ข่าวต้องการเรตติ้งและมีแนวโน้มไปในทิศทางเป็นรายการวาไรตี้ มากกว่าการนำเสนอข้อมูลข้อเท็จจริงที่เป็นประโยชน์ต่อผู้รับสาร จึงจำเป็นต้องวิเคราะห์ถึงความคาดหวังของผู้รับสารต่อสื่อมวลชนในการนำเสนอข่าวสาร โดยคณะกมธ.ได้ดำเนินงานร่วมกับ กสทช. ติดตามประเด็นการขยี้ข่าวมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้คาดหวังอย่างยิ่งว่าเวทีการสัมมนาในครั้งนี้จะเป็นส่วนช่วยดึงสติสังคมในการบริโภคข่าวสาร และเกิดองค์ความรู้จากประสบการณ์ของนักวิชาการสื่อสารมวลชนที่ร่วมสะท้อนมุมมองและแนวคิดในประเด็นดังกล่าวเพื่อสร้างสังคมสื่อสารมวลชนที่สอดคล้องตามหลักจริยธรรมสื่อมวลชนอย่างแท้จริง
การสัมมนาเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้ ยังจัดให้มีการอภิปรายในประเด็นสำคัญ ได้แก่ การนำเสนอข่าวในรายการข่าวและเนื้อหารุนแรง ปฏิบัติการ IO และ Fake News และ Hate speed โดยมีวิทยากร ได้แก่ ผศ.พิมลพรรณ ไชยนันท์ หัวหน้าสำนักวิชาการสื่อสารมวลชน คณะการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และผศ.ชนัญสรา อรนพ ณ อยุธยา ผู้ช่วยคณบดี คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดร.มานะ ตรีรยาภิวัฒน์ รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และนายณรรธราวุธ เมืองสุข นักข่าวอิสระ ด้านผศ.พิมลพรรณ ระบุถึงผลการศึกษาประเด็นข่าว รูปแบบและเทคนิคการนำเสนอข่าว ประเด็นทางจริยธรรม การกำกับดูแลเนื้อหาและการตอบสนองของผู้ชมต่อการนำเสนอข่าว พร้อมกับอธิบายถึงพัฒนาการข่าวทีวีในรอบ 1 ทศวรรษของประเทศไทย เริ่มต้นจากการอ่านข่าวในยุคก่อนทีวีดิจิทัล โดยผู้อ่านข่าวและผู้รายงานข่าว ต่อด้วยการเล่าข่าวเปิดสนามทีวีดิจิทัล โดยผู้เล่าและผู้สรุปเหตุการณ์ และนำมาสู่การขยี้ข่าวการปรับตัวกระจาย platform โดยผู้วิจารณ์ผู้สร้าง หรือผู้ปั่นกระแส พร้อมทั้งยกตัวอย่างผลการศึกษาการนำเสนอข่าวสารของทีวีดิจิทัล 10 ช่อง เป็นระยะเวลา 14 วัน เพื่อสรุป 5 ข่าวที่มีพื้นที่การรายงานข่าวสูงสุด ผลปรากฏว่าเป็นลักษณะของข่าวชาวบ้านและข่าวอาชญากรรม ที่ได้รับความนิยมสูงสุด นอกจากนี้ยังชี้ให้เห็นถึงประเด็นความขัดแย้งต่อประเทศเพื่อนบ้าน จะเห็นว่ามีการนำเสนอข่าวความหดหู่ ความสูญเสียโดยไม่คำนึงถึงความยินยอมของผู้ได้รับผลกระทบ รวมทั้งพบการสื่อสารที่สร้างความเกลียดชัง ยุยง ปลุกปั่น เช่น การใช้คำว่า เขมรเนรคุณ ทำให้ผู้รับสารมองว่าชาวบ้านกัมพูชาคือศัตรูของประเทศไทย ขณะที่ ผศ.ชนัญสรา มุ่งนำเสนอถึงประเด็นความร้ายแรงของถ้อยคำที่สร้างความเกลียดชัง (Hate speed) ยกตัวอย่างจากข่าวความรุนแรงระหว่างไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ระบุว่า มักเกิดจากความสะสมจากการรับสื่อ เกิดการแบ่งแยก จนอาจก่อให้เกิดความรู้สึกว่าคนไทยจะต้องกำจัดคนฝ่ายตรงข้ามออกไปจากประเทศ สิ่งเหล่านี้แม้จะทำให้เกิดความสะใจ สร้างความเกลียดชัง แต่สุดท้ายอาจจะทำให้เกิดผลกระทบในระยะยาวต่อประเทศชาติได้ ส่วน ดร.มานะ กล่าวถึงสถานการณ์ปัจจุบันที่มีการนำเสนอข่าวมีการควบรวมผสมระหว่างข่าวตามช่องสื่อโซเชียลมีเนียนำมาเสนอในช่องสื่อกระแสหลัก ด้วยเหตุผลคือ ความประหยัดต้นทุน นำเสนอได้อย่างรวดเร็ว จนมีคำกล่าวที่ว่าการปะทะระหว่างไทย- กัมพูชาทำให้อุตสาหกรรมสื่อ รุ่งเรืองขึ้นอีกครั้ง เพราะประชาชนหันมาสนใจข่าวมากเป็นพิเศษ อีกทั้งยังกล่าวถึงอิทธิพลของการปลุกปั่นด้วย IO การสร้างข้อมูลเพื่อให้เกิดความเห็นคล้อยตามกัน จึงต้องตั้งคำถามว่าสื่อในปัจจุบัน ทำตัวเป็น IO จิตอาสาหรือไม่ เพราะมีความพร้อมมีบทบาทปลุกปั่นและตอบโต้ บางครั้งเป็นเครื่องมือของข่าวปลอม จนลืมระมัดระวังในเรื่องจริยธรรมและความถูกต้อง และนายณรรธราวุธ กล่าวถึงประเด็นการนำเสนอข่าวปลอม (Fake news) และการขาดความรอบด้านของอุตสาหกรรมสื่อในปัจจุบัน
นอกจากนี้ยังมีการอภิปรายหัวข้อ การสร้างความเกลียดชังและการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากสถานการณ์ความรุนแรง ประสบการณ์ ข้อจำกัด และความท้าทายจากการรายงานข่าวความขัดแย้ง โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิจากวงการสื่อและภาคประชาสังคมร่วมแลกเปลี่ยนความเห็น อย่างไรก็ตามภายหลังการสัมมนาในครั้งนี้คณะกมธ.จะนำข้อเสนอแนะที่ได้สะท้อนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับสื่อมวลชน หน่วยงานกำกับดูแล และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย สำหรับพัฒนาการทำงานสื่อที่คำนึงถึงจริยธรรมและบทบาทเชิงบวกต่อสังคมต่อไป โดยเฉพาะในสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ
ณัฐเดช เอียดปุ่ม /ข่าว /เรียบเรียง