นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจาถึงนายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (รมว.คลัง) กรณีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซื้อหุ้นจากบุคคลในครอบครัวด้วยตั๋วสัญญาใช้เงิน (ตั๋ว PN) เป็นเงิน 4,434.5 ล้านบาท โดยตั๋ว PN เหล่านี้ไม่มีกำหนดชำระเงินและไม่มีดอกเบี้ย จึงตั้งข้อสังเกตว่าอาจไม่ใช่การซื้อหุ้นจริง หรือไม่ แต่เป็นการทำนิติกรรมอำพรางเพื่อหลีกเลี่ยงหรือหลบเลี่ยงภาษี ซึ่งตนได้ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด โดยได้ยื่นหนังสือต่อกรมสรรพากรเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 เพื่อขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับการใช้ตั๋ว PN ว่าเป็นการหลบเลี่ยงภาษี หรือไม่ แต่จนถึงปัจจุบันผ่านมา 5 เดือน ยังไม่มีความคืบหน้าเป็นรูปธรรม โดยพบปัญหาว่า คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรเกิดอุปสรรคในการจัดประชุม เนื่องจาก รมว.คลัง ไม่ยอมใช้อำนาจตามมาตรา 13 ทวิ ของประมวลรัษฎากร ในการตั้งผู้ทรงคุณวุฒิ 3 คนเข้ามาเป็นกรรมการ จึงขอถามว่า การวินิจฉัยกรณีการใช้ตั๋ว PN ของนายกรัฐมนตรี มีกำหนดจะแล้วเสร็จเมื่อใด และทำไม รมว.คลัง ถึงไม่ยอมใช้อำนาจตามมาตรา 13 ทวิ แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิ 3 คน เข้าทำหน้าที่ในคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร
ด้าน นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้รับมอบหมายจาก รมว.คลัง เป็นผู้ตอบกระทู้ถามแทน ชี้แจงโดยยืนยันว่า กรมสรรพากรไม่ได้นิ่งนอนใจและมีกระบวนการดำเนินการมาโดยตลอด ตั้งแต่ได้รับหนังสือร้องเรียนเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 โดยได้รวบรวมข้อเท็จจริงและข้อมูลตั้งแต่เดือนเมษายนถึงมิถุนายน ซึ่งรวมถึงข้อมูลจากภายใน อาทิ แบบแสดงรายการภาษีของบุคคลและนิติบุคคลที่เกี่ยวข้อง และข้อมูลจากภายนอก อาทิ ป.ป.ช. และกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เรื่องทะเบียนหุ้น ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการสืบหาข้อเท็จจริง โดยได้เชิญ 7 บริษัทที่เกี่ยวข้องกับการโอนหุ้นมาตรวจสอบกระบวนการยังไม่แล้วเสร็จ เนื่องจากต้องดำเนินการให้ถูกต้องและอยู่ในกรอบเวลา พร้อมย้ำว่ากระบวนการภาษีในลักษณะดังกล่าวมีหลายคดี ไม่ได้มีเฉพาะคดีของนายกฯ ทั้งคดีภาคเอกชนและภาคการเมือง ซึ่งดำเนินการมา 2 ปีแล้วยังไม่แล้วเสร็จ เพราะต้องดำเนินการอย่างถูกต้องและเป็นธรรม และไม่สามารถเร่งรัดการสอบสวนได้ เนื่องจากต้องปฏิบัติตามขั้นตอนที่ถูกต้อง เพราะอาจส่งผลกระทบทั้งคุณและโทษต่อประชาชนได้
สำหรับประเด็นที่ รมว.คลัง ไม่แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิ นายจุลพันธ์ ชี้แจงว่า ในขณะนี้ยังไม่มีเรื่องเข้าสู่คณะกรรมการวินิจฉัยอย่างเป็นทางการ จึงยังไม่มีความจำเป็นต้องแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเข้ามา หากกรมสรรพากรวินิจฉัยว่าเรื่องใดมีมูลเพียงพอ จะส่งเรื่องเข้าสู่คณะกรรมการวินิจฉัย รมว.คลัง สามารถเร่งรัดการแต่งตั้งบุคลากรเข้าเป็นกรรมการได้เมื่อมีกรณีเกิดขึ้น และไม่มีบทลงโทษหากองค์ประกอบกรรมการไม่ครบถ้วน พร้อมย้ำ กรมสรรพากรเน้นให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ผู้ร้อง หรือผู้ถูกร้อง แม้จะมีการตั้งคำถามถึงความล่าช้าและผลที่ตามมาก็ตาม แต่ไม่มีการละเว้นกรณีใดเป็นพิเศษอย่างแน่นอน
อรุณี ตันศักดิ์ดา ข่าว/เรียบเรียง