นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ยกตัวอย่างกรณีการจัดตั้งรัฐบาลหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งมีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่และมีการเลือกตั้ง ขณะนั้นสภาผู้แทนราษฎรมี 269 เสียง และพรรคประชาธิปัตย์ นำโดย ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าพรรค ได้รับเลือกมาที่ 72 เสียง จับมือกับพรรคอื่น ๆ ได้ 103 เสียง จัดตั้งรัฐบาล และเสนอชื่อ ม.ร.ว.เสนีย์ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งสามารถผ่านไปได้ เพราะประธานสภาผู้แทนราษฎรขณะนั้นเป็นของพรรคประชาธิปัตย์ แต่ตามรัฐธรรมนูญ ปี 2517 นั้น บัญญัติให้คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อสภาฯ โดยต้องได้รับความไว้วางใจจากสภาฯ กระบวนการดังกล่าวใช้เวลาประมาณ 1 เดือน สุดท้ายก็จบลง ได้เสียงไว้วางใจไม่ถึงครึ่งของสภาฯ ขณะนั้นคือ 135 เสียง สุดท้าย ม.ร.ว.เสนีย์ และคณะรัฐมนตรี ไม่ได้จัดตั้งรัฐบาล
นายเทวฤทธิ์ กล่าวต่อว่า ปัจจัยสำคัญเมื่อพิจารณารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน การจะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ นอกจากผู้ที่จะถูกเสนอชื่อจะต้องอยู่ในบัญชีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ที่พรรคต้องมีเสียงเกิน 25 เสียงแล้ว ยังต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาฯ ก่อนที่จะไปจัดตั้งคณะรัฐมนตรี ดังนั้น หาก สส. ที่สนับสนุนให้แคนดิเดตคนนั้นเป็นนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมเป็นพรรครัฐบาลด้วย จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย แต่ข้อเสนอของพรรคประชาชน คือ ต้องการผ่าทางตันทางการเมืองด้วยการยกมือโหวตให้โดยที่พรรคตัวเองไม่ร่วมรัฐบาล แต่รัฐบาลนั้นมีภารกิจเฉพาะกิจตามเงื่อนไขที่เสนอ คือ ต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน ต้องเดินหน้าจัดทำประชามติ ทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต้องเรียกรัฐบาลเสียงข้างน้อยนี้ว่าเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยเฉพาะกิจ
ต่อประเด็นคำถามถึงความท้าทาย ปัญหาอุปสรรคของรัฐบาลเสียงข้างน้อยคืออะไรนั้น นายเทวฤทธิ์ มองว่า ประการแรกคือการต้องดำเนินการตามเงื่อนไขที่ สส. เสียงข้างมากวางไว้ ทั้งส่วนของผ่านร่างกฎหมายที่หากจะผลักดันก็ต้องได้การสนับสนุนจาก สส. เกินครึ่งของสภาฯ ซึ่งก็ต้องได้รับความเห็นชอบจาก สส. พรรคฝ่ายค้าน ประเด็นนี้จึงถือเป็นอำนาจในการกำกับการทำงานส่วนนิติบัญญัติ อีกประการคือการกำกับอำนาจฝ่ายบริหารและการเมือง หากรัฐบาลดังกล่าวออกนอกข้อตกลงหรือมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากผ่านพลังดูดหรืออะไรก็ตาม ฝ่ายค้านที่โดยสภาพก็จะเป็นเสียงข้างมากสามารถเปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 ที่กำหนดไว้ปีละครั้ง ปีนี้ก็ยังไม่ได้ใช้กลไกนี้ โดยที่เมื่อเปิดได้อาจไม่ต้องอภิปรายเลยก็ได้ แล้วลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ก็หลุดจากตำแหน่งแล้ว
นายเทวฤทธิ์ กล่าวต่อถึงจากสถานการณ์ทางการเมืองที่เป็นอยู่ปัจจุบันว่า รัฐบาลที่จะตั้งขึ้นมีภารกิจเฉพาะกิจคือมาเพื่อยุบสภาภายใน 4 เดือน ดังนั้นการกระทำการใด ๆ ที่จะต่อเวลาหรือใช้อำนาจนอกข้อตกลงก็คงอยู่ยาก แต่ที่สำคัญหากฝ่ายค้านที่ทำข้อตกลงกับรัฐบาลต้องทำงานตรวจสอบหนักโดยเฉพาะสิ่งผิดปกติที่บ่งบอกถึงการดูด สส. เพื่อแปลงสภาพเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก หากพบก็ต้องรีบดำเนินการลงมติไม่ไว้วางใจ หากปล่อยไว้อาจไม่ทันกาล ส่วนข้อกังวลเรื่องหลังยุบสภาจะเป็นรัฐบาลรักษาการต่อไปราว 5 เดือนจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่นั้นก็ยังเห็นว่าเป็นรัฐบาลที่มีข้อจำกัดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 เช่น ไม่อนุมัติงานหรือโครงการที่มีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป หรือไม่แต่งตั้งหรือโยกย้ายข้าราชการเว้นแต่ได้รับความเห็นชอบจาก กกต.
ทัดดาว ทองอิ่ม ข่าว / เรียบเรียง
แฟ้มภาพ
