นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคการเมืองฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร หรือ วิปฝ่ายค้าน กล่าวถึงวาระการประชุมในวันนี้ ว่า เป็นการประชุมเกี่ยวกับกฎหมายที่จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในพุธที่ 17 และวันพฤหัสบดีที่ 18 ก.ย. นี้ อาทิ ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง ที่คณะกรรมาธิการร่วมกันพิจารณาเสร็จแล้ว และร่างพระราชบัญญัติล้มละลาย ที่ยังค้างอยู่ในวาระสองและสาม ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะพิจารณาแล้วเสร็จ และเริ่มเข้าสู่ร่างพระราชบัญญัติอากาศสะอาดต่อในวาระสองและสาม ที่ต้องใช้ระยะเวลาพิจารณาหลายสัปดาห์ เนื่องจากมีหลายมาตรา ส่วนในวันที่ 18 ก.ย. จะเป็นการพิจารณาชุดกฎหมายที่เกี่ยวกับท้องถิ่น อาทิ ระเบียบราชการบริหารบุคลากรท้องถิ่น รวมถึงชุดกฎหมายในการจัดตั้ง อบจ. อบต. เทศบาล เรื่องการกำหนดวาระและอายุผู้สมัคร และการเลือกตั้งท้องถิ่นต่าง ๆ
สำหรับการทำงานของฝ่ายค้าน นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า มีการพูดคุยกันเรื่อย ๆ แม้จะยังไม่เป็นทางการ แต่สังคมรับทราบว่ากำลังมีรัฐบาลเสียงข้างน้อย เพราะฉะนั้นในฝ่ายค้านด้วยกันเองจึงได้ประสานกับพรรคเพื่อไทยอยู่ตลอดเวลา ขณะที่ พรรคแกนนำรัฐบาลอย่างพรรคภูมิใจไทย ที่มีเสียงข้างน้อยจึงจำเป็นต้องประสานกับพรรคประชาชนในหลายเรื่อง เพราะหากขาดเสียงของฝ่ายค้าน รัฐบาลอาจจะดำเนินงานในสภาต่อได้ยาก จึงกลายเป็นความร่วมมือของทั้งสามพรรคการเมือง ทั้งพรรคเพื่อไทย ภูมิใจไทย และประชาชน รวมถึงพรรคการเมืองอื่นด้วย เพื่อที่จะมากำหนดวาระในสภาผู้แทนราษฎรร่วมกัน ซึ่งเป้าหมายของพรรคประชาชนคือต้องการชวนพรรคเพื่อไทยในฐานะเสียงข้างมากในสภามาร่วมกันทำงานผ่านกฎหมายที่เป็นประโยชน์ให้มากที่สุดในระยะเวลา 4 เดือน ที่เหลืออยู่หลังจากรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยเฉพาะร่างกฎหมายที่พรรคเพื่อไทยคิดว่าจะสามารถผลักดันได้ทัน
ส่วนกังวลเรื่องร่างรัฐธรรมนูญว่าจะสำเร็จได้ทัน 4 เดือนหรือไม่ นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า ร่างรัฐธรรมนูญไม่ได้ซับซ้อน แต่ที่ซับซ้อนเพราะศาลรัฐธรรมนูญตอบสิ่งที่ไม่ได้ถามกลับมา อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าตอนนี้บรรยากาศเป็นไปด้วยดี และทั้ง 3 พรรคการเมืองเห็นตรงกันที่จะพยายามหาทางออกร่วมกัน โดยตั้งทีมงานเฉพาะขึ้นมาดูข้อกฎหมาย ซึ่งเมื่อคืนได้มีการประชุมกันเรื่องนี้ หากเห็นตรงกันว่าจะเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตราเดียวที่ยังเป็นปัญหาได้ ตนเชื่อว่าใช้เวลาไม่นาน เพราะในส่วนการทำประชามติคำถามที่ 1 ใช้แค่มติคณะรัฐมนตรีเท่านั้น และคำถามที่ 2 ขึ้นอยู่กับรัฐสภา โดยแก้ไขรัฐธรรมนูญเพียงมาตราเดียว อกจากนี้ ยังกล่าวถึงกรณีที่สังคมเริ่มตั้งข้อสงสัยว่าเหตุใดต้องแก้รัฐธรรมนูญก่อนแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน โดยมองว่าการดำเนินการคงไม่ใช้ทุกทรัพยากรทั้ง สส. สว. หรือ รัฐมนตรี ทำเรื่องเดียว เพราะทุกเรื่องสามารถทำพร้อมกันได้ จึงมองว่าควรเลิกใช้ตรรกะนี้ได้แล้ว พร้อมยืนยันว่าสิ่งที่เป็นปัญหาคือรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ที่ถูกเขียนโดยขาดความชอบธรรม ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้การเมืองไม่มีเสถียรภาพ และทำให้การแก้ไขปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชนเป็นไปได้ยาก เพราะทุกอย่างสอดคล้องกัน ทุกพรรคการเมืองจึงเห็นพ้องที่จะแก้ไข ขณะเดียวกันไม่ได้บอกว่าจะหยุดแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน แต่เห็นว่าอะไรที่เป็นประโยชน์ควรจะทำไปพร้อม ๆกัน
อัญชิสา ก่อกิจฤกษ์ชัย ข่าว/เรียบเรียง