นายพรชัย วิทยเลิศพันธุ์ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะสมาชิกรัฐสภา อภิปรายนโยบายรัฐบาลว่า จากการศึกษานโยบายของคณะรัฐมนตรีด้วยความตั้งใจและได้พบกับนโยบายที่สำคัญด้านเศรษฐกิจในข้อ 5.1 ที่รัฐบาลประกาศจะจัดตั้ง "ทีมไทยแลนด์" และผลักดันให้ไทยเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) เพื่อดึงดูดการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศ โดยตนเห็นด้วยกับนโยบายนี้อย่างยิ่ง เพราะไม่ใช่เป็นเพียงการเข้าร่วมองค์กรระหว่างประเทศ แต่คือการแสดงเจตนารมณ์อันแรงกล้าที่จะปฏิรูปประเทศไปสู่มาตรฐานสากลอย่างแท้จริง เนื่องจากมุมมองที่ว่า OECD เป็นสโมสรของประเทศร่ำรวย เป็นความคิดที่ล้าสมัยไปแล้ว โดยในโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยความท้าทาย OECD คือเวทีของประเทศที่มุ่งมั่นจะพัฒนาอย่างยั่งยืนและมีธรรมาภิบาล การได้เข้าเป็นสมาชิก OECD เหมือนกับการตัดสินใจสมัครสมาชิกฟิตเนสระดับโลก แม้ร่างกายของประเทศไทยภายนอกอาจจะดูแข็งแรง แต่หากได้ตรวจสุขภาพอย่างละเอียดจะพบว่าภายในเต็มไปด้วยปัญหาต่างๆ อาทิ การคอร์รัปชัน ความเหลื่อมล้ำ และความไร้ประสิทธิภาพของระบบราชการ
นายพรชัย กล่าวต่อว่า การผลักดันให้ไทยเป็นสมาชิก OECD จะเป็นกระบวนการที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนหลายอย่าง อาทิ การปฏิรูปกฎหมาย การเปิดเผยข้อมูลเพื่อสร้างความโปร่งใส และการต่อสู้กับผลประโยชน์ทับซ้อนเดิม อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่ได้จะคุ้มค่ามหาศาล เพราะจะทำให้ได้ประเทศไทยในเวอร์ชั่นใหม่ที่แข็งแกร่ง จากความโปร่งใสในสายตานานาชาติ อย่างเช่น ความสำเร็จของเกาหลีใต้ ที่หลังจากเข้าเป็นสมาชิก OECD ในปี 2539 สามารถพัฒนาเศรษฐกิจจนก้าวขึ้นเป็นอันดับต้นๆ ของเอเชียได้ในเวลาไม่ถึง 20 ปี และจากการที่คณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา ได้เดินทางไปเยือนสำนักงานใหญ่ OECD ณ กรุงปารีส ได้รับคำแนะนำว่าหัวใจสำคัญที่จะทำให้กระบวนการเข้าร่วมสำเร็จโดยเร็ว คือ บทบาทของฝ่ายนิติบัญญัติ ทาง OECD จึงได้แนะนำให้รัฐบาลไทยจัดตั้ง "เครือข่ายรัฐสภามิตรภาพ OECD (OECD Parliamentary Friendship Network) ขึ้น โดยเครือข่ายนี้เปรียบเทียบเหมือนกับกลุ่มไลน์ของสมาชิกในยิมเดียวกัน ซึ่งจะเป็นพื้นที่ให้ สส. และ สว. ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลและร่วมกันทำงาน อาทิ จะแก้กฎหมายอะไร ต้องการนโยบายสนับสนุนแบบใด หรือจะสร้างความสมดุลระหว่างการพัฒนากับผลกระทบอย่างไร เพื่อให้ประเทศไทยพร้อมเข้าสู่มาตรฐาน OECD ได้เร็วที่สุด
นายพรชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้อดีตนายกรัฐมนตรีคนก่อนได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลการดำเนินงานเรื่องนี้แล้ว เปรียบเหมือนการมีโค้ชมาช่วยเทรนถึง 4 คนแล้วก็ตาม แต่กลไกของฝ่ายบริหารอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ จำเป็นต้องอาศัยพลังจากฝ่ายนิติบัญญัติเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงกฎหมายซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ ดังนั้น หากรัฐบาลชุดนี้มีความจริงจังและจริงใจในเรื่องนี้ตามที่ได้แถลงนโยบายไว้ จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลสนับสนุนการจัดตั้งเครือข่ายรัฐสภามิตรภาพ OECD ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมภายใน 4 เดือน และสนับสนุนให้คณะกรรมการและอนุกรรมการต่างๆ ที่ได้ตั้งขึ้นแล้ว สามารถดำเนินงานต่อเนื่องจากเดิมโดยเร็วที่สุด
อรุณี ตันศักดิ์ดา ข่าว/เรียบเรียง