นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร นำคณะผู้แทนรัฐสภาไทย เข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา ครั้งที่ 151 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง (The 151st IPU Assembly and related meetings) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19 - 23 ตุลาคม 2568 เป็นวันที่สี่ ณ ศูนย์การประชุม CICG นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส โดยสรุปภารกิจของคณะผู้แทนรัฐสภาไทยในการประชุมวันที่สี่
โดยในช่วงเช้าของการประชุมในวันที่สี่ ที่ประชุมได้เริ่มต้นด้วยการอภิปรายระเบียบวาระเร่งด่วน (Debate on emergency item) ในหัวข้อ “บทบาทภาครัฐสภาเพื่อต่อกรกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติอาชญากรรมไซเบอร์ และภัยคุกคามแบบผสมผสาน ซึ่งเป็นภัยต่อประชาธิปไตยและความมั่นคงของมนุษย์ (Parliamentary action against transnational organized crime, cybercrime and hybrid threats to democracy and human security)” ซึ่งประเทศไทยเสนอร่วมกับอาร์เจนตินา ชิลี โปแลนด์ และสวีเดน โดยการสนับสนุนของกลุ่มภูมิรัฐศาสตร์ลาตินอเมริกาและแคริบเบียน และกลุ่มทเวล์ฟพลัส ที่ประชุมได้มีมติเลือกให้บรรจุเป็นระเบียบวาระเร่งด่วน เพื่อรวบรวมผลของการอภิปรายโดยประเทศสมาชิกเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาแก้ไขปรับปรุงร่างข้อมติดังกล่าวของคณะกรรมการยกร่างข้อมติระเบียบวาระเร่งด่วน (Drafting Committee on the emergency item) โดยมีประเทศต่าง ๆ เข้าร่วมอภิปราย อาทิ เนเธอร์แลนด์ แคนาดา ฟินแลนด์ เม็กซิโก และซูรินาม ทุกประเทศต่างเห็นพร้อมกันว่า อาชญากรรมข้ามชาติ องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและอาชญากรรมทางไซเบอร์ รวมถึงทุกรูปแบบของอาชญากรรม ล้วนเป็นความท้าทายใหม่ของประชาคมโลก ในยุคดิจิทัล ความเปลี่ยนแปลงของอาชญากรรม ได้ก้าวไปสู่รูปแบบใหม่ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและก้าวหน้า ทำให้กฎหมายอาจจะก้าวเดินไปช้ากว่า การร่วมกันแก้ไขปัญหาดังกล่าวร่วมกันผ่านการดำเนินงานในข้อมตินี้ จะช่วยทำให้การแก้ไขปัญหาที่โลกนี้กำลังเผชิญร่วมกันสามารถลุล่วง ประสบผลสำเร็จไปได้ด้วยดี ทั้งนี้ นายรังสิมันต์ โรม ผู้แทนรัฐสภาไทย ได้เป็นผู้กล่าวปิดท้ายในการอภิปรายเกี่ยวกับร่างระเบียบวาระเร่งด่วน โดยเรียกร้องความร่วมมือระหว่างประเทศ อีกทั้งยังได้เรียกร้องการกระทำที่มากไปกว่าข้อตกลง และการดำเนินการดังกล่าว เป็นไปเพื่อมวลมนุษยชาติและประชาชนของโลก รวมถึงประเทศไทยพร้อมที่จะร่วมมือกับทุกประเทศเพื่อให้เกิดความเป็นประชาธิปไตย และความเป็นปึกแผ่นในการต่อกรกับความท้าทายดังกล่าว โดยได้รับเสียงสนับสนุน เป็นเสียงปรบมือจากที่ประชุม
จากนั้น ที่ประชุมได้รับฟังการกล่าวถ้อยแถลงของผู้แทนจากประเทศสมาชิกในช่วงการอภิปรายทั่วไป (General Debate) กลุ่มผู้อภิปรายในลำดับที่สองของคณะผู้แทนที่มิได้มีตำแหน่งเป็นประธานรัฐสภา (List C) และกลุ่มผู้อภิปรายที่เป็นสมาชิกยุวสมาชิกรัฐสภา (List D) ซึ่งได้รับการจัดสรรเวลาสำหรับกล่าวถ้อยแถลงประเทศละ 2 นาที ภายใต้หัวข้อหลักของการประชุมสมัชชาในครั้งนี้คือ “Upholding humanitarian norms and supporting humanitarian action in times of crisis” โดยนายอัคร ทองใจสด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ขึ้นกล่าวถ้อยแถลงในนามยุวสมาชิกรัฐสภาของไทย ยืนยันจุดยืนของไทยต่อสถานการณ์ชายแดนกับกัมพูชา โดยย้ำว่าประเทศไทยไม่ได้เป็นผู้ริเริ่มหรือได้ประโยชน์จากความขัดแย้งดังกล่าว และเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไทยให้ความสำคัญกับสันติภาพซึ่งเป็นรากฐานของความก้าวหน้า เคารพอธิปไตยของทุกประเทศและยึดมั่นในข้อตกลงหยุดยิง พร้อมยกตัวอย่างประวัติศาสตร์ด้านมนุษยธรรม เมื่อไทยเปิดพรมแดนให้ผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชาหลายแสนคนในช่วงสงครามกลางเมือง ทว่าปัจจุบันหมู่บ้านชาวกัมพูชาบางแห่งได้ขยายข้ามเขตแดน ซึ่งไทยได้ประท้วงหลายครั้งโดยยังไม่ได้รับการตอบสนอง ส่วนเชลยศึกชาวกัมพูชาจำนวน 18 คน ไทยปฏิบัติตามอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 3 อย่างเคร่งครัด มีการดูแลทางการแพทย์และอนุญาตให้ ICRC เข้าตรวจเยี่ยมได้เต็มที่ ทั้งนี้ ไทยยืนยันจะปล่อยตัวเมื่อสถานการณ์ยุติการสู้รบ ในตอนท้าย ผู้แทนไทยกล่าวว่า “สันติภาพต้องได้รับการปกป้องทุกวัน” และเรียกร้องให้พรมแดนระหว่างสองประเทศเป็นสะพานแห่งความร่วมมือ ไม่ใช่เส้นแบ่งแห่งความขัดแย้ง
ต่อมา คณะผู้แทนรัฐสภาไทยได้ร่วมนำเสนอการดำเนินการเพื่อปฏิบัติตามข้อมติที่ผ่านมาของสหภาพรัฐสภา ในช่วง Special Accountability Segment ของการประชุมสมัชชา โดยนายอนุชา บูรพชัยศรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้แถลงต่อที่ประชุมยืนยันความมุ่งมั่นของประเทศไทยต่อพหุภาคีนิยมและหลักมนุษยธรรม ตามข้อมติ IPU ว่าด้วยการสนับสนุนสันติภาพ ความยุติธรรม และความยั่งยืนของโลก โดยไทยได้เน้นว่าความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาไม่ใช่สิ่งที่ไทยเริ่มต้น และยังคงปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงด้วยความอดกลั้นอย่างสูงสุด ภายใต้หลักกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ไทยมีประวัติด้านมนุษยธรรมอันยาวนาน และยังคงยึดมั่นในหลักการดังกล่าว โดยให้การดูแลเชลยศึกชาวกัมพูชา 18 คนตามอนุสัญญาเจนีวา พร้อมเปิดทางให้คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศเข้าตรวจเยี่ยมเป็นประจำ ย้ำว่าการคุ้มครองพลเรือนและการเคารพกฎหมายมนุษยธรรมคือรากฐานของสันติภาพที่ยั่งยืน ซึ่งไทยพร้อมแก้ไขปัญหากับกัมพูชาโดยสันติวิธีและความร่วมมืออย่างสร้างสรรค์
นอกจากนั้น คณะผู้แทนรัฐสภาไทย ยังได้ปฏิบัติภารกิจในการประชุมคู่ขนานต่าง ๆ ในห้วงการประชุมวันที่สี่ อาทิ นายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างข้อมติระเบียบวาระเร่งด่วน โดยที่ประชุมได้พิจารณาร่างข้อมติ หัวข้อ “บทบาทภาครัฐสภาเพื่อต่อกรกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ อาชญากรรมไซเบอร์ และภัยคุกคามแบบผสมผสาน ซึ่งเป็นภัยต่อประชาธิปไตยและความมั่นคงของมนุษย์“ ที่ไทยร่วมเสนอกับอาร์เจนตินา ชิลี โปแลนด์ และสวีเดน โดยการสนับสนุนของกลุ่มภูมิรัฐศาสตร์ลาตินอเมริกาและแคริบเบียน และกลุ่มทเวล์ฟพลัส ซึ่งหัวข้อดังกล่าวได้ผ่านการลงคะแนนเป็นระเบียบวาระเร่งด่วนจากที่ประชุมสมัชชา เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ที่ผ่านมา ในการนี้ นายรังสิมันต์ ได้ร่วมในกระบวนการแก้ไขร่างข้อมติเป็นรายวรรค โดยที่ประชุมได้ใช้วิธีการฉันทามติเพื่อพิจารณาวรรคต่าง ๆ ให้มีเนื้อหาที่ครอบคลุมและเป็นที่ยอมรับได้ของกลุ่มภูมิรัฐศาสตร์ทั้ง 6 กลุ่มในสหภาพรัฐสภา โดยในท้ายที่สุดการปรับแก้ไขเนื้อหาของร่างข้อมติเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยมีการปรับปรุงเล็กน้อยไม่เป็นสาระสำคัญ ซึ่งร่างข้อมติฉบับนี้จะได้นำไปเสนอต่อที่ประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา ครั้งที่ 151
สำนักองค์การรัฐสภาระหว่างประเทศ สผ.ข้อมูล/ภาพ
อรุณี ตันศักดิ์ดา /เรียบเรียง