การประชุมวุฒิสภา ที่มีนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม พิจารณารายงานความคืบหน้าการพิจารณาศึกษาข้อดีข้อเสียการยกเลิก MOU 2543 และ MOU 2544 เพื่อแก้ไขปัญหาชายแดนไทย - กัมพูชา ของคณะกรรมาธิการวิสามัญ ที่ได้ดำเนินการมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นพดล อินนา ประธานกรรมาธิการวิสามัญฯ กล่าวว่า ได้ประชุมมาแล้วรวม 6 ครั้ง เชิญตัวแทนจากกองทัพบก กองทัพเรือ และกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ตลอดจนไปศึกษาดูงานในจังหวัดตราด เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยกำหนดกรอบการพิจารณา 2 ประเด็นหลัก คือ กระบวนการจัดทำ MOU ทั้ง 2 ฉบับ เป็นตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย หรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง หรือไม่ อย่างไร และเนื้อหาของ MOU สอดคล้อง ปฏิบัติได้จริง เป็นประโยชน์ต่อประเทศและประชาชนหรือไม่ อย่างไร ทั้งนี้ ทั้ง 2 ประเด็น เป็นเรื่องสลับซับซ้อน ต้องศึกษาอย่างละเอียด
ด้านนายคำนูญ สิทธิสมาน กรรมาธิการวิสามัญฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเด็นเนื้อหาของ MOU มีความเห็นที่แตกต่างกันมาก แต่ประเด็นกระบวนการจัดทำ หาข้อยุติได้ง่ายกว่า กล่าวคือ MOU ถือได้ว่าเป็นสนธิสัญญา โดยเฉพาะ MOU 2543 ที่รัฐบาลไปขึ้นทะเบียนกับองค์การสหประชาชาติ (UN) เมื่อปี 2544 โดยขณะจัดทำทั้ง 2 ฉบับ อยู่ในช่วงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ซึ่งตามมาตรา 224 วรรค 1 พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการทำหนังสือสัญญาสันติภาพ สัญญาสงบศึก และสัญญาอื่น กับนานาประเทศหรือกับองค์การระหว่างประเทศ และวรรค 2 หนังสือสัญญาใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทยหรือเขตอำนาจแห่งรัฐหรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามสัญญา ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา หรือมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560
โดยจะชอบด้วยมาตรา 224 วรรคแรกหรือไม่ ชัดเจนว่าการทำหนังสือสัญญา เป็นพระราชอำนาจ แต่ตามมาตรา 3 อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล หมายความว่าการทำหนังสือสัญญา จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เสียก่อน
และจากการตรวจสอบ มติ ครม. ที่เกี่ยวข้อง พบว่าเป็นมติ ครม. ที่รับทราบรายงานผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา (JBC) ครั้งที่ 2 และบัญชาของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการอนุมัติให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศในฐานะประธานกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา (ฝ่ายไทย) ลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ซึ่งเป็นมติ "รับทราบ" ไม่ได้ "เห็นชอบ" อีกทั้งจากการตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้องดังกล่าว ระหว่างสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) และกระทรวงการต่างประเทศ ของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ พบว่า เอกสารตรงกันทุกประการ ดังนั้น จึงเกิดปัญหาว่าการทำหนังสือสัญญา ครม. ไม่ได้เห็นชอบ อาจจะขัดมาตรา 224 วรรคแรกหรือไม่ นอกจากนี้ ยังอาจขัดต่อระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี มติ ครม. และบันทึก JBC ครั้งที่ 2
ทั้งนี้ อยากฝากให้ ครม. ดำเนินการตรวจสอบ เพื่อยืนยันความถูกต้องหรือไม่ถูกต้องในประเด็นดังกล่าวนี้ เพราะเชื่อว่า ครม. จะมีกลไกตรวจสอบได้รวดเร็วกว่า ตลอดจนหากจะขัดหรือไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายภายในประเทศ ต้องทำการยืนยันหรือโต้แย้ง เพื่อแก้ไขหรือดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดต่อไป
ทัดดาว ทองอิ่ม ข่าว / เรียบเรียง