28 ต.ค. 68 - อดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ ร่วมประชุม กมธ.วิสามัญฯ ศึกษาข้อดีข้อเสียยกเลิก MOU 43-44 แนะรัฐบาลเร่งสร้างความชัดเจนแนวทางดำเนินงานก่อน-หลังการทำประชามติ ป้องกันประชาชนเกิดความสับสน ขณะเตือนระวัง 3 ประเด็นข้อตกลงแร่แรร์เอิร์ธกับสหรัฐฯ 

 

            การประชุมคณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญพิจารณาศึกษาข้อดีข้อเสียการยกเลิก MOU 2543 และ MOU 2544 เพื่อแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มีนายนพดล อินนา สมาชิกวุฒิสภา(สว.) ประธานคณะ กมธ.เป็นประธานการประชุม ได้เชิญ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เข้าให้ข้อมูล ณ ห้องประชุม CA 326 ชั้น 3 อาคารรัฐสภา (ฝั่งวุฒิสภา)

            นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าประชุมว่า ได้มาตามคำเชิญของคณะกรรมาธิการฯ เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับ MOU โดยเฉพาะในช่วงที่ตนดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งเคยมีแนวคิดเกี่ยวกับการยกเลิก MOU ฉบับปี 2544 จึงคาดว่าคณะกรรมาธิการฯ จะสอบถามถึงรายละเอียดและแนวคิดในช่วงเวลาดังกล่าว ทั้งนี้ยังไม่ทราบว่าที่ประชุมจะมีการสอบถามประเด็นอื่นเพิ่มเติมหรือไม่ ส่วนข้อดีข้อเสียของการยกเลิก MOU ทั้งสองฉบับ ระบุว่า ปัจจุบันยังคงมีความสับสนอยู่มาก เนื่องจากรัฐบาลได้ประกาศในนโยบายว่าจะจัดทำประชามติเพื่อยกเลิก MOU ขณะที่ทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาได้ตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาประเด็นนี้ก่อนหน้าที่จะมีมติให้ทำประชามติแล้ว อีกทั้งล่าสุดไทยยังได้ลงนามกับกัมพูชาในเวทีอาเซียน โดยมีการอ้างอิงถึงการดำเนินงานตาม MOU อยู่ด้วย ดังนั้น สิ่งสำคัญที่รัฐบาลควรชี้แจงต่อประชาชน คือ แนวทางการดำเนินงานในช่วงก่อนถึงวันลงประชามติ และหลังการลงประชามติ ว่ามีความต่อเนื่องหรือสัมพันธ์กับนโยบายรัฐบาลอย่างไร มิฉะนั้นอาจก่อให้เกิดความสับสนในภาพรวมได้

            หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ประชาชนต้องการข้อมูลที่ชัดเจนก่อนลงประชามติ ขณะที่หน่วยงานด้านความมั่นคงและกระทรวงการต่างประเทศจำเป็นต้องได้รับทิศทางในเชิงนโยบายที่แน่นอน เพราะไม่สามารถหยุดการดำเนินงานไว้รอผลประชามติได้ รัฐบาลจึงควรมีท่าทีและนโยบายที่ชัดเจนเพื่อให้ทุกฝ่ายดำเนินการได้ต่อเนื่อง ย้ำว่าอย่างน้อยที่สุดทุกฝ่ายเห็นตรงกันในข้อเรียกร้อง 4 ข้อ ที่ต้องให้กัมพูชาปฏิบัติให้ครบก่อนการหารือเรื่องอื่นๆ 

            ต่อข้อถามถึงกรณีที่ประเทศไทยและสหรัฐอเมริกาลงนามข้อตกลงความร่วมมือเกี่ยวกับแร่หายาก หรือแร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earth) นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การแสวงหาผลประโยชน์จากห่วงโซ่อุปทานด้านแร่หายากเป็นสิ่งที่ดี แต่จำเป็นต้องระมัดระวังใน 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1. ผลประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับต้องมีความชัดเจน ไม่ใช่เป็นเพียงการเปิดสิทธิให้ฝ่ายสหรัฐฯ โดยไม่มีผลตอบแทนที่เป็นธรรม 2. ต้องพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและความสอดคล้องกับกฎหมายภายในประเทศ และ 3. ไม่ควรให้ข้อตกลงดังกล่าวนำไปสู่การผูกขาด เพราะจะส่งผลต่อความร่วมมือกับประเทศอื่น ๆ และอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในสงครามทางการค้าระหว่างสองมหาอำนาจได้

อรพรรณ ขันทองคำ ข่าว/เรียบเรียง

 

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ