29 พ.ย. 68 - สว.เทวฤทธิ์ หนุนให้มีคูหาเลือก กมธ.ยกร่าง รธน. ชี้เป็นด่านแรกให้ประชาชนมีส่วนร่วมคัดกรอง ก่อนส่งรัฐสภาเลือกต่อ เชื่อจะเป็นรัฐธรรมนูญที่ได้รับการยอมรับจากประชาชน  

image

          นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ให้สัมภาษณ์ถึงการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ วาระที่ 2 ในวันที่ 10-11 ธันวาคม นี้ ว่า ยังคงมีจุดยืนเดิมที่ว่าประชาชนต้องมีสิทธิ์เลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง แม้คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ระบุว่ารัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง แต่หากพิจารณาคำวินิจฉัยอย่างละเอียดจะเห็นว่าแม้กระทั่งการแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยสภาพรัฐสภาเองก็ไม่สามารถแก้ได้โดยลำพังอยู่แล้ว ต้องไปทำประชามติถามประชาชน ตามมาตรา 256 อนุ 8 หลังผ่านวาระที่ 3 เพื่อให้เกิดการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ ซึ่งหากตีความคำวินิจฉัย รัฐสภายังสามารถริเริ่มหรือแสดงความต้องการให้ประชาชนเลือกผู้ร่างโดยตรงได้ และประชาชนจะเป็นผู้จะตัดสินสุดท้ายผ่านการทำประชามติ แต่เหมือนพรรคการเมืองหลายพรรคจะกังวลว่าหากทำเช่นนี้จะมีการไปร้อง ซึ่งทราบว่าขณะนี้นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม อดีต สว. ได้ยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้พิจารณาส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การที่รัฐสภาไม่ดำเนินการทำประชามติสอบถามประชาชนว่าต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก่อนที่จะดำเนินการยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น เป็นการกระทำที่มิชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 ที่ระบุว่ารัฐสภาไม่มีอำนาจแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ทั้งฉบับหรือไม่ ซึ่งส่วนตัวกังวลว่าจะทำให้กระบวนการนำไปสู่การจัดทำ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้นสะดุดลง ต้องวัดใจว่ารัฐสภาจะกล้าผ่านวาระที่ 3 และนำไปสู่การทำประชามติ หรือไม่
           นายเทวฤทธิ์ กล่าวอีกว่า ร่างของคณะกรรมาธิการฯ ที่ปรับแก้ให้มีคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ใช้กระบวนการสมัครมาแล้วให้สมาชิกรัฐสภาเลือกอีกรอบ โดยใช้สูตร 20 หยิบ 1 และคณะกรรมาธิการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งที่มาของคณะกรรมาธิการยกร่างฯ กรรมาธิการเสียงข้างมากไม่ให้มีคูหาเลือกตั้ง ไม่ให้ประชาชนได้เลือก แต่ใช้วิธีสมัครมาแทน ซึ่งตนยังเชื่อว่า การให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้ เป็นการให้ประชาชนมีส่วนร่วมและผลลัพธ์ที่ออกมาคือรัฐธรรมนูญมีแนวโน้มที่จะตอบสนองความต้องการของประชาชนได้มากที่สุด หรือได้รับการยอมรับ แน่นอนว่าต้องมีเรื่องกระบวนการด้วย ระหว่างทางต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมด้วย มิฉะนั้นจะเหมือนการตีเช็คเปล่าให้กับผู้ร่าง ซึ่งสุดท้ายเมื่อทำประชามติ หากไม่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมเลยก็อาจจะไม่ผ่านได้ อย่างไรก็ตาม ตนเข้าใจดีที่กรรมาธิการเสียงข้างมากไม่ให้มีคูหาเลือกตั้ง เพราะข้อจำกัด ทั้งการไปร้องเรียน และหากผ่านวาระที่ 2 แต่วาระที่ 3 ก็ต้องใช้เสียง 1 ใน 3 ของ สว. ด้วยอีก เข้าใจว่ากรรมาธิการพยายามประนีประนอม ซึ่งจุดยืนส่วนตัวอยากให้รัฐสภามีความพยายามมากขึ้น เพื่อให้ประชาชนสามารถเลือกผู้ร่างได้เอง อย่างน้อยโดยอ้อมก็ยังดี
          เมื่อถามถึงความหวังสำหรับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะเกิดขึ้นนี้ นายเทวฤทธิ์ กล่าวว่า จากกระบวนการต่าง ๆ รัฐธรรมนูญอาจจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่ก็ขอให้สามารถแก้ได้ง่ายขึ้น ทั้งรายมาตราหรือทั้งฉบับก็ได้ และไม่มีติดล็อกที่ สว.
          เมื่อถามถึงการเตรียมอภิปรายร่างรัฐธรรมนูญในวาระที่ 2 ไว้อย่างไรบ้างนั้น นายเทวฤทธิ์ กล่าวว่า สูตร 20 หยิบ 1 ตามสัดส่วนของสมาชิกรัฐสภา ที่แน่นอนคือ สว. 200 คน แต่ สส. 500 คน ต้องรอการเลือกตั้ง ซึ่งยังไม่ทราบว่าพรรคใดจะได้เสียงข้างมาก สมมติว่าพรรคที่มีความสัมพันธ์อันดีกับ สว. อาจจะได้เป็นอันดับ 1 หรืออันดับ 2 หรือเป็นพรรคจัดตั้งรัฐบาล มีแนวโน้มว่า 20 หยิบ 1 จะมีเสียงข้างมากที่เอนไปทางรัฐบาลหรือ สว. เสียงข้างมากเช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นข้อกังวล แม้จะเห็นด้วยกับสูตรนี้ แต่ต้องการันตีว่าไม่ใช่เสียงข้างมากลากไป แต่เชื่อว่ายังดีกว่าการใช้เสียงข้างมากของรัฐสภาในการเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญ โดยตนจะอภิปรายสนับสนุนให้มีคูหาเลือกตั้งจากประชาชน อย่างน้อยที่สุดที่มาเบื้องต้นของผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ก่อนจะให้สมาชิกรัฐสภาเลือก ต่อให้ประชาชนไม่สามารถเลือกโดยตรงได้ หากมีคูหาจะเป็นการคัดกรองจากประชาชน การันตีว่าประชาชนมีส่วนร่วม และรู้สึกเป็นเจ้าของรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่หลุดลอยเอาเพียงแค่ผู้ที่สมัครมาเท่านั้น และอีกประเด็น คือ ความคิดเห็นของคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) ที่กำลังขับเคลื่อนเรื่องนี้ โดยวันที่ 9 ธันวาคม นี้ ก่อนวันประชุมร่วมรัฐสภาพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ วาระที่ 2 จะมีผู้มาชุมนุม และสะท้อนความคิดเห็น จุดยืนคือการให้ผู้ร่างรัฐธรรมนูญมาจากการเลือกของประชาชนโดยตรง ซึ่งตนจะไปรับฟังความคิดเห็นและนำมาเสนอในที่ประชุมด้วย

ทัดดาว ทองอิ่ม ข่าว / เรียบเรียง

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ