28 พ.ค. 68 - อนุ กมธ.คุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ห่วงผัก-ผลไม้ตกมาตรฐาน หลังสุ่มตรวจพบไม่ผ่านมาตรฐานร้อยละ 70 ปนเปื้อนคลอร์ไพลิฟอส แนะจัดตั้งห้องแล็บมาตรฐานสากลตรวจสารพิษทุกด่านศุลกากร

image

            นายนิฟาริด ระเด่นอาหมัด ประธานคณะอนุกรรมาธิการ(กมธ.)การคุ้มครองผู้บริโภค ในคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา พร้อมคณะ แถลงข่าวภายหลังลงพื้นที่ด่านศุลกากร เชียงของ จังหวัดเชียงราย ดูเรื่องความปลอดภัยของอาหาร โดยเฉพาะผักและผลไม้ ที่ประเทศไทยนำเข้าจากจีนเป็นจำนวนมากที่สุด เพื่อป้องกันสินค้าไม่ปลอดภัยกระจายสู่ท้องตลาด และส่งผลกระทบต่อสุขภาพผู้บริโภค การลงพื้นที่ครั้งนี้ คณะ กมธ. คณะอนุ กมธ.ร่วมกับสภาองค์กรของผู้บริโภค จัดเก็บตัวอย่างผักและผลไม้จำนวน 10 ตัวอย่าง จากผู้ประกอบการที่นำเข้าผ่านด่านศุลกากรเชียงของ ส่งทดสอบสารพิษตกค้าง ณ ห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรอง ISO/IEC 17025 ผลพบว่ามีผักและผลไม้ตกมาตรฐานร้อยละ 70 และมีจำนวน 1 ตัวอย่าง พบวัตถุอันตราย ชนิดที่ 4 คือคลอร์ไพริฟอส ซึ่งเป็นสารที่กฎหมายห้ามใช้ อย่างไรก็ตาม การพบสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐานในผักและผลไม้ ย่อมส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคโดยตรง เนื่องจากสารแต่ละชนิดมีความอันตรายแตกต่างกัน ทั้งอาจก่อมะเร็ง รบกวนการทำงานของระบบฮอร์โมนและต่อมไร้ท่อ เป็นพิษต่อระบบประสาท ระบบสืบพันธุ์ ระบบภูมิคุ้มกัน ดังนั้น กมธ.และอนุ กมธ.จึงมีข้อเสนอแนะว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้การสนับสนุนงบประมาณและผลักดันให้มีการจัดตั้งห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐานและการรับรอง ISO/IEC 17025 ทุกด่านศุลกากร โดยเร่งด่วน

            นายนิฟาริด กล่าวต่อไปว่าจากผลการตรวจหลังลงพื้นที่ คณะ กมธ. เสนอแนะให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ขยายสำนักงานและเร่งดำเนินการให้มีห้องปฏิบัติการที่มีเครื่องมือทันสมัย ได้มาตรฐานสากล และควรสนับสนุนการจัดทำระบบตรวจรับรองฟาร์มที่นำเข้าผัก ผลไม้ และอาหารนำเข้าอย่างเป็นระบบ ควรทำความร่วมมือกับผู้นำเข้าผัก ผลไม้ และอาหาร ให้รับผิดชอบค่าดำเนินการที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบ พร้อมกำหนดบทลงโทษ กำหนดมาตรการความรับผิดชอบของผู้ประกอบการ เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับสินค้าที่มีคุณภาพและปลอดภัย นอกจากนี้ อย.ควรเร่งพัฒนาระบบเฝ้าระวังและแจ้งเตือนเร่งด่วน ประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อให้เกิดระบบในการเฝ้าระวัง แจ้งเตือน ติดตาม และมีมาตรการเพื่อจัดการสินค้าอาหารที่ไม่ปลอดภัยได้อย่างทันท่วงที ตั้งแต่ต้นทางจนถึงมือผู้บริโภค ส่วนประเด็นที่เป็นข้อกังวลของคนในพื้นที่ การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษในการสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 4 ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในชุมชน เนื่องจากนักท่องเที่ยวเปลี่ยนเส้นทาง ไม่เข้าชุมชนเดิมนั้น กมธ.เห็นว่าควรนำประเด็นดังกล่าวหารือต่อ กมธ.ท่องเที่ยวและการกีฬา วุฒิสภา ต่อไป

อรพรรณ ขันทองคำ ข่าว/เรียบเรียง

 

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ