28 พ.ค.68-รัฐสภา ร่วมกับ UNDP และเอไอเอส นำบุคลากรศึกษาดูงาน สำนักงานเขตคลองเตย กทม. ต้นแบบองค์กรปล่อยคาร์บอนต่ำ หวังนำความรู้ไปสู่การจัดทำโครงการ Race to Zero ขับเคลื่อนองค์กรไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2032

image

        สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ร่วมกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme: UNDP) และบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) จัดโครงการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ 13 ภายใต้แผนแม่บทการขับเคลื่อนไปสู่รัฐสภาสีเขียว : Race to Zero กับศูนย์อาเซียนฯ กิจกรรมที่ 2 การเดินทางไปศึกษาดูงานหน่วยงานที่มีการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพในเรื่องการปรับตัวเพื่อมุ่งสู่องค์กรที่ปล่อยคาร์บอนต่ำของกรุงเทพมหานคร โดยมีบุคลากรของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร บุคลากรของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาซึ่งเป็นผู้แทนคณะทำงานด้าน Green Office บุคลากรสำนักงานเขตคลองเตย เข้าร่วม จำนวน 100 คน ณ สำนักงานเขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 

        นายสาธิต  วงศ์อนันต์นนท์ ที่ปรึกษาด้านระบบงานนิติบัญญัติ สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ในฐานะที่ปรึกษาและอนุกรรมการบูรณาการแผนงานและโครงการด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ในคณะกรรมการประชาคมอาเซียนของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา กล่าวว่า ปัจจุบันสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ได้ขับเคลื่อนองค์กรไปสู่การเป็นสำนักงานสีเขียว (Green Office) ภายใต้นโยบายสิ่งแวดล้อมของนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา และแผนแม่บทการขับเคลื่อนไปสู่รัฐสภาสีเขียว (Green Parliament) ปี ค.ศ.2025 - 2032 เพื่อบริหารจัดการประเด็นท้าทายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีเป้าหมายลดมลพิษและก๊าซเรือนกระจก เพื่อนำองค์กรไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และการป่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ.2032 ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือของบุคลากรของทั้งสองสำนักงานเพื่อให้รัฐสภาสามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ 13 ปฏิบัติการอย่างเร่งด่วนเพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบที่เกิดขึ้น อันจะนำไปสู่การขับเคลื่อนองค์กรไปสู่รัฐสภาสีเขียวอย่างยั่งยืน โดยการจัดทำโครงการ Race to Zero จากประเด็นที่ท้าทายพร้อมออกแบบแนวทางในการบรรเทาปัญหาขององค์กรต่อไป

        นายพรพรหม   วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้บริหารด้านความยั่งยืนของกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า โครงการนี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับองค์กรขนาดใหญ่อย่างรัฐสภาสีเขียว เป็นเรื่องสำคัญ ที่ผ่านมา รัฐสภา และ กรุงเทพมหานคร ได้ร่วมกันทำโครงการไม่เทรวม จนเกิดผลลัพธ์ที่ดีอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย กรุงเทพมหานครต้องเตรียมแผนรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยิ่งน้ำทะเลหนุนสูงส่งผลให้เกษตรกรในเขตบางขุนเทียน และเขตทุ่งครุยิ่งได้รับผลกระทบรวมถึงฝนตกเป็นกลุ่มก้อนทางภาคเหนือ (Rain Bom) และความร้อนเมือง เป็นปรากฎการณ์ที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน และกรุงเทพมหานคร ก็มีความเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ได้

        นายกานต์ รามอินทรา Head of Programme of UNDP Thailand กล่าวว่า ภาวะโลกเดือด หรือภาวะโลกร้อน สะท้อนให้เห็นถึงภาวะวิกฤติของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งไทยได้ให้คำมั่นในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 หรือ COP26 ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญ คือ ไทยจะมีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี ค.ศ.2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ในปี ค.ศ. 2065 โดยยังคงร่วมกันรักษาอุณหภูมิของโลกตามข้อตกลงปารีส โดยการยกระดับการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนดให้สูงขึ้น โดยใช้แนวทางสนับสนุนทางการเงิน การถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยี โดยทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของประเทศ ทั้งนี้ ที่ผ่านมา UNDP ได้ทำงานร่วมกับรัฐสภาหลายโครงการ อาทิ รัฐสภาสีเขียว การลดการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ และการทำงานร่วมกับคณะกรรมาธิการสิ่งแวดล้อม เป็นต้น โครงการนี้จึงเป็นโอกาสอันดีที่ทำให้ทั้งสององค์กรได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างกันเพื่อให้บุคลากรได้รับทราบแนวทางการจัดการกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

        นายณัฐวัฒน์ สุวัฒนพงษ์ธาดา Project Manager Climate Change UNDP กล่าวถึงบทบาทของรัฐสภากับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระดับท้องถิ่น ว่า รัฐสภามีบทบาทสำคัญในการออกกฎหมายหรือนโยบายหรือการเห็นชอบงบประมาณจากส่วนกลางไปสู่ท้องถิ่นเพื่อแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งสมาชิกรัฐสภา มีบทบาทสำคัญในการสะท้อนปัญหาของท้องถิ่นไปยังผู้กำหนดนโยบายผ่านการตั้งกระทู้ถาม การทำงานในคณะกรรมาธิการ ซึ่งจะช่วยทำให้เกืดการแก้ไขปัญหาผ่านกลไกของฝ่ายนิติบัญญัติ เช่นเดียวกับการติดตามการนำกฎหมายไปบังคับใช้ได้อย่างตรงเป้าหมายและวัตถุประสงค์ นอกจากนี้ รัฐสภายังเป็นองค์กรกลางที่ประสานความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศที่ทำให้เกิดการสนับสนุนจากองค์กรระหว่างประเทศได้ ขณะที่การจัดสรรเงินทุนเพื่อรองรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้น ทั่วโลกต้องใช้เงินถึง 5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่ปัจจุบันยังมีการจัดสรรเงินทุนเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวไม่ถึงครึ่งหนึ่ง และเงินทุนส่วนใหญ่ยังมาจากภาคเอกชน รองลงมา คือ ภาครัฐ ซึ่งยังต้องหาเงินทุนมาสนับสนุนการแก้ไขปัญหานี้ เช่นเดียวกับเงินทุนของท้องถิ่นจำเป็นต้องมีแผนงานที่ชัดเจน ซึ่ง กทม. มีแผนงาน 20 ปี และแผนแม่บทที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นอกจากนี้ รัฐบาลยังสามารถสนับสนุนทุน การนำเงินภาษีมาใช้แก้ปัญหาเพื่อพัฒนาท้องถิ่น หรือนำเงินจากกองทุนสิ่งแวดล้อม หรือธนาคารเพื่อการพัฒนาภูมิภาคเอเชีย องค์กรท้องถิ่นก็สามารถนำเงินมาใช้แก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ 

        หลังจากนั้นเป็นการบรรยายหัวข้อ "ความก้าวหน้าของนโยบายและการขับเคลื่อนสำนักงานสีเขียว สู่เป้าหมาย Net Zero ของกรุงเทพมหานคร" โดยนางเสริมสุข นพพันธ์ ผู้อำนวยการส่วนจัดการสิ่งแวดล้อมยั่งยืน พร้อมด้วยนางสาวยุพิน ขามกุเลา หัวหน้ากลุ่มงานแผนงานและประเมินผล สำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร เป็นวิทยากร จากนั้นคณะอนุกรรมการฯ ได้นำคณะบุคลากรของทั้งสองสำนักงานฯ ลงพื้นที่เยี่ยมชมพร้อมสำรวจเส้นทางสีเขียว ณ สวมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จย่า โดยนางชิดใจ เข็มกลัด เจ้าหน้าที่รักษาความสะอาดอาวุโส สำนักงานเขตคลองเตย

ณัฐพล สงวนทรัพย์ ข่าว/เรียบเรียง

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ