2 มิ.ย.68- “สารี  อ๋องสมหวัง” กมธ.คุ้มครองผู้บริโภค สว. ย้ำผู้บริโภคอยู่ในสถานการณ์ไม่ปลอดภัย หลังสภาผู้บริโภคฯ สุ่มตรวจผักและผลไม้นำเข้าจากด่านเชียงของ จ.เชียงราย พบสารเคมีตกค้างเกินค่ามาตรฐาน ชี้ต้องเร่งทบทวน พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. 2522 เพิ่มกลไกผู้รับผิดชอบนำอาหารไม่ปลอดภัยออกจากตลาด

image

        นางสารี  อ๋องสมหวัง กรรมาธิการ (กมธ.) ในคณะอนุกรรมาธิการการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ให้สัมภาษณ์ในรายการ “สภาปริทัศน์” ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงรัฐสภา ในประเด็น สารพิเศษปนเปื้อนในผักและผลไม้นำเข้า ว่า เมื่อวันที่ 3 เม.ย.68 คณะอนุ กมธ. ร่วมกับสภาผู้บริโภค และเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN) ลงพื้นที่ตรวจสอบความปลอดภัยผักและผลไม้นำเข้า ณ ด่านศุลกากรเชียงของ จังหวัดเชียงราย เพื่อสุ่มตรวจผักและผลไม้ 10 ชนิด พบว่า มีผักและผลไม้ 7 ชนิด ที่ตกมาตรฐาน หรือคิดเป็นร้อยละ 70 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ผู้บริโภคอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัย พบสารเคมีทั้งหมด 37 ชนิดในผักและผลไม้ที่สุ่มตรวจ ซึ่งหนึ่งในสารพบสารเคมีตกค้างที่เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ซึ่งห้ามใช้แล้ว คือ สารคลอไพริฟอส (Chlorpyrifos) ในผักกาดขาว (Coral Lettuce) พบ 12 ชนิด 11 ชนิดเกินมาตรฐาน และ 1 ชนิดเป็นสารที่ห้ามใช้ คือ คลอไพริฟอส ขณะที่ ผักหอม พบ 9 ชนิด 4 ชนิดเกินมาตรฐาน ผักปวยเล้ง พบ 11 ชนิด 6 ชนิดเกินมาตรฐาน ผักกาดฮ่องเต้ พบ 6 ชนิด 4 ชนิดเกินมาตรฐาน ผักกาดแก้ว พบ 3 ชนิด 1 ชนิดเกินมาตรฐาน ผักกาดหวาน พบ 6 ชนิด 3 ชนิดเกินมาตรฐาน ส้ม พบ 15 ชนิด 5 ชนิดเกินมาตรฐาน ส่วนผักที่พบสารเคมีแต่ไม่เกินมาตรฐาน (ถือว่าปลอดภัย) ได้แก่ ผักกาดขาวทั่วไป พบ 1 ชนิด แต่ปริมาณต่ำกว่ามาตรฐาน.กะหล่ำปลี ไม่พบสารเคมีตกค้าง หัวไชเท้า พบ 1 ชนิด แต่ไม่เกินค่ามาตรฐาน

        นางสารี กล่าวด้วยว่า ผักที่มีสารพิษตกค้างเกินมาตรฐาน ถือว่าเป็นอาหารที่ไม่ปลอดภัยและไม่ควรบริโภค เพราะสารเคมีเหล่านี้ส่วนใหญ่สะสมในร่างกาย ซึ่งการล้างไม่สามารถกำจัดสารเคมีที่เกินมาตรฐานออกไปได้หมด สำหรับผักที่พบสารเคมีแต่ไม่เกินมาตรฐาน เช่น ผักกาดขาวทั่วไป กะหล่ำปลี หัวไชเท้า การล้างทำความสะอาดจะช่วยลดปริมาณสารตกค้างลงได้อีก ทำให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น

        นางสารี กล่าวถึงข้อจำกัดและปัญหาที่ด่านตรวจเชียงของ จังหวัดชียงราย ว่า ไม่มีห้องปฏิบัติการเพียงพอ หรือไม่มีเจ้าหน้าที่ทำงาน 24 ชั่วโมงเพื่อตรวจยืนยันผลจากชุดทดสอบได้ทันที ซึ่งการตรวจโดยชุดทดสอบต้องได้รับการยืนยันจากห้องปฏิบัติการก่อนจึงจะสามารถสั่งกักหรือตีกลับสินค้าได้ อีกทั้งผักเป็นของสด ต้องกระจายสินค้าอย่างรวดเร็ว ทำให้มีข้อจำกัดในการกักรอผลตรวจยืนยัน ซึ่งระบบการทำให้อาหารปลอดภัยที่ชายแดนยังมีข้อจำกัดมาก ซึ่งสะท้อนถึงความไม่ปลอดภัยของผู้บริโภคในประเทศ

 

นางสารี กล่าวถึงข้อเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหา ประกอบด้วย 1. เพิ่มการจัดสรรงบประมาณให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มากขึ้น เพื่อดูแลอาหารนำเข้า เนื่องจากปัจจุบันใช้งบประมาณดูแลอาหารส่งออกมากกว่า 2. ระบบการรับรอง บริษัทผู้นำเข้าควรมีเอกสารรับรองความปลอดภัยอาหารจากห้องปฏิบัติการที่น่าเชื่อถือในระดับระหว่างประเทศ. นี่เป็นสิ่งที่สามารถดำเนินการได้ทันทีโดยไม่ต้องรองบประมาณ 3. ระบบการเรียกคืนและแจ้งเตือนภัย โดยต้องทราบถึงแหล่งที่มาของอาหารนำเข้า (ช่น รู้ว่ากระจายไปที่ตลาดใดบ้าง และมีระบบการเรียกคืนสินค้าที่ไม่ปลอดภัยออกจากตลาด พร้อมแจ้งเตือนผู้บริโภคผู้นำเข้าควรต้องรายงานข้อมูลการกระจายสินค้า 4. ตรวจสอบที่ต้นทาง โดยมีการตรวจสอบฟาร์มหรือแหล่งผลิตในประเทศต้นทาง เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัย. สามารถใช้เงื่อนไขนี้ในการนำเข้าได้ หรือให้บริษัทผู้นำเข้าเป็นผู้รับผิดชอบการตรวจสอบเบื้องต้น เช่น การตรวจสอบแหล่งผลิตกล้วยหอมทองโดยญี่ปุ่น หรือการตรวจสอบทุเรียนส่งออก 5. ขึ้นบัญชีดำ (Blacklist) บริษัทที่นำเข้าสินค้าไม่ปลอดภัย เช่น บริษัทที่นำเข้าผัก 7 รายการที่ตรวจพบปัญหา) เพื่อให้ได้รับการตรวจเป็นพิเศษในการนำเข้าครั้งต่อไป ต้องมีมาตรการที่เข้มงวดขึ้น 6. แก้ไขกฎหมายและบังคับใช้ ควรปรับปรุงพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 ซึ่งบังคับใช้มานานและมีข้อจำกัด เช่น ความไม่ชัดเจนเรื่องหน้าที่ความรับผิดชอบในการนำอาหารไม่ปลอดภัยออกจากตลาด แม้กฎหมายปัจจุบันจะไม่รุนแรงมาก แต่ก็มีกฎหมายอื่นที่สามารถใช้ได้ และควรเร่งรัดกระบวนการส่งตรวจห้องปฏิบัติการยืนยันผลภายใน 24 ชั่วโมง เพื่อดำเนินการกักหรือตีกลับสินค้าได้ทัน ผู้นำเข้าควรเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการทดสอบหากสินค้าตกมาตรฐาน อำนาจของด่านศุลกากรสามารถใช้ในการตีกลับหรือทำลายสินค้าที่ไม่ปลอดภัยได้ แม้ไม่ได้ใช้  พ.ร.บ. อาหารฯ โดยตรง

        นางสารี กล่าวด้วยว่า ตนขอเรียกร้องให้ภาครัฐสนับสนุนการผลิตอาหารปลอดภัยอย่างเป็นรูปธรรม และตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนทั้งจากรัฐบาลกลางและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของผู้บริโภคในประเทศ และยังกระทบต่อความน่าเชื่อถือของอาหารไทยที่ส่งออกไปยังต่างประเทศด้วย เพราะประเทศอื่นก็ตรวจเข้มงวดเช่นกัน

 

ณัฐพล  สงวนทรัพย์  ข่าว/เรียบเรียง

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ