นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย สมาชิกวุฒิสภา (สว.) เสนอแนวคิดเพิ่มเติมต่อร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กองทุนการออมแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... หรือหวยเกษียณ หลังวุฒิสภามีมติเห็นชอบผ่านร่างกฎหมายดังกล่าว โดยเสนอให้ 1. ปรับเกณฑ์อายุและความยืดหยุ่นในการใช้เงินออม กรอบคิดเรื่อง “วัยเกษียณ” หรือ “ยามชราภาพ” ควรมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ปัจจุบันมักอ้างอิงตามอายุ 60 ปี แต่ควรพิจารณาเพิ่มเติมถึงคุณภาพชีวิตและความสามารถในการเข้าถึงเงินออมของแต่ละบุคคล เช่น กรณีของประกันสังคมที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกันตนที่มีอายุ 55 ปี และมีระยะเวลาส่งเงินสมทบอย่างน้อย 180 เดือน (ประมาณ 15 ปี) สามารถขอรับเงินบำนาญได้ และหากผู้ฝากเงินผ่านสลาก มีประวัติการออมที่ยาวนานพอสมควร เช่น เกิน 15 ปี ก็ควรพิจารณาเปิดช่องให้สามารถขอรับเงินคืนก่อนอายุ 60 ปีได้ โดยไม่จำกัดเพียงกรณีเจ็บป่วยหรือทุพพลภาพ หากประเด็นนี้สามารถบัญญัติไว้ในตัวบทกฎหมายได้ ก็จะช่วยให้ระบบมีความยืดหยุ่นและตอบโจทย์ชีวิตที่หลากหลายมากขึ้น
2. รับประกันผลตอบแทนไม่น้อยกว่าอัตราเงินเฟ้อ สิ่งสำคัญที่ควรกำหนดไว้ในกฎหมายคือหลักประกันว่าผลตอบแทนจากการออมผ่านหวยเกษียณต้องไม่น้อยกว่าอัตราเงินเฟ้อ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการออมในระยะยาว หากไม่สามารถรักษามูลค่าแท้จริงของเงินออมได้ การออมก็จะกลายเป็นภาระมากกว่าการเป็นหลักประกัน นอกจากนี้ ยังมีต้นทุนแฝงอย่างค่าเสียโอกาส ที่ผู้ฝากเงินอาจนำเงินไปลงทุนทางเลือกอื่นได้หากไม่ถูกจำกัดระยะเวลา ดังนั้น การสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนออมผ่านสลาก ไม่ควรอาศัยเพียงแนวคิดเสี่ยงโชคเท่านั้น แต่ต้องรับประกันความมั่นคงของเงินต้นและผลตอบแทนที่สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจด้วย แม้ที่ผ่านมากองทุนฯ จะสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินเฟ้อในภาพรวม แต่การระบุหลักประกันนี้ไว้ในกฎหมายอย่างชัดเจนจะสร้างความมั่นใจและแรงจูงใจในการออมได้อย่างยั่งยืน
3. กระจายโอกาสการเข้าถึงอย่างทั่วถึง แม้ร่างกฎหมายจะกำหนดเพดานการซื้อสลากไว้ที่ไม่เกิน 3,000 บาทต่อเดือนเพื่อกระจายโอกาสให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงได้ แต่ในทางปฏิบัติยังอาจเกิดปัญหา “ใครมาก่อนได้ก่อน” ซึ่งอาจนำไปสู่การกระจุกตัวของสิทธิในกลุ่มที่มีข้อมูลหรือความพร้อมมากกว่า จึงควรมีระบบการจัดสรรหรือกลไกทางเทคนิคเพิ่มเติมเพื่อให้การเข้าถึงสิทธิในการซื้อสลากเกิดความเป็นธรรม และไม่ขัดต่อวัตถุประสงค์ที่ต้องการให้ประชาชนทุกกลุ่มมีโอกาสออมเพื่อวัยเกษียณอย่างเท่าเทียม
4. การบูรณาการข้อมูลร่วมกับระบบอื่น ประเทศไทยมีระบบการออมเพื่อการเกษียณหลายรูปแบบทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน เช่น กองทุนประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ จึงควรมีการบูรณาการข้อมูลระหว่างกัน เพื่อให้ประชาชนสามารถเห็นภาพรวมของเงินออมและสิทธิที่ตนมีอยู่ทั้งหมดได้ในที่เดียว การรวมข้อมูลยอดเงินสะสม เงินสมทบ และผลตอบแทนจากทุกกองทุนไว้ในระบบเดียวไม่เพียงเพิ่มความโปร่งใส แต่ยังช่วยให้ประชาชนสามารถวางแผนชีวิตหลังเกษียณได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความซ้ำซ้อนและความยุ่งยากในการใช้หลายแอปพลิเคชันหรือระบบหลายชุด
5. ก้าวไปสู่ระบบบำนาญถ้วนหน้า เป้าหมายสูงสุดของการสร้างหลักประกันชีวิตในยามชราควรเป็นการจัดตั้ง “ระบบสวัสดิการถ้วนหน้า” ที่ประชาชนทุกคนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม โดยไม่ต้องพิสูจน์ความจนและไม่ปล่อยให้ใครตกหล่นเพียงเพราะขาดเอกสารหรือคุณสมบัติบางประการ
นายเทวฤทธิ์ กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาภาคประชาชนได้เสนอร่างกฎหมายเพื่อเปลี่ยนระบบเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุให้เป็นระบบ “บำนาญถ้วนหน้า” มาตั้งแต่ปลายปี 2567 แต่กลับถูกตีตกด้วยเหตุผลว่าเป็นกฎหมายการเงิน ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก่อนนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา สะท้อนให้เห็นถึงข้อจำกัดเชิงโครงสร้างในการผลักดันนโยบายสวัสดิการจากภาคประชาชน แม้จะมีฉันทามติทางสังคมที่ชัดเจน แต่หากระบบกฎหมายไม่เปิดโอกาสให้เสียงของประชาชนได้รับการพิจารณาอย่างแท้จริงก็ยากที่จะเห็นความก้าวหน้าในเชิงนโยบาย โดยหากรัฐเห็นด้วยกับหลักการในการสร้างความมั่นคงให้แก่ชีวิตของผู้สูงอายุก็ควรเดินหน้าสู่ระบบบำนาญถ้วนหน้าอย่างจริงจัง เพราะผู้สูงอายุจำนวนมากได้สร้างคุณูปการต่อเศรษฐกิจและสังคมมาทั้งชีวิต และไทยกำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุเข้มข้น การตอบแทนด้วยความมั่นคงในบั้นปลายชีวิต คือ การให้เกียรติและรักษาศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง ทั้งนี้ ประเทศไทยควรก้าวให้ไกลกว่ากุศโลบายเฉพาะหน้า และพิจารณาระบบบำนาญถ้วนหน้าในฐานะเครื่องมือสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเท่าเทียม และวางรากฐานของรัฐสวัสดิการที่มั่นคงในระยะยาว
ทัดดาว ทองอิ่ม ข่าว / เรียบเรียง
เพจเฟซบุ๊ก เทวฤทธิ์ มณีฉาย - Bus Tewarit Maneechai ข้อมูล / ภาพ