6 ก.ย.68- “สว.ภิญญาพัชญ์” จี้รัฐบาลให้เร่งแก้ไขปัญหาวิกฤตการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะพื้นที่ศรีสะเกษและอุบลราชธานี ชี้ประชาชนต้องเผชิญความสูญเสียแต่ไม่ได้รับการช่วยเหลือที่เป็นรูปธรรม สะท้อนความล้มเหลวเชิงโครงสร้างของระบบเยียวยาไม่ครอบคลุมภัยสงคราม แนะรัฐบาลตั้ง “กองทุนช่วยเหลือฉุกเฉิน” หวังสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนตามแนวชายแดน

        นางสาวภิญญาพัชญ์  ศันสนียชีวิน สมาชิกวุฒิสภา (สว.) กล่าวถึงปัญหาวิกฤตชายแดน: บทเรียนเพื่อพัฒนาระบบเยียวยา ว่า สืบเนื่องจากประชาชนในพื้นที่ชายแดน ไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตจังหวัดศรีสะเกษและจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์การปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา มีการสู้รบและยิงระเบิด สร้างความสูญเสียและความเสียหายอย่างรุนแรงทั้งในด้านชีวิต ทรัพย์สิน และความมั่นคงในการดำรงชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตาม ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุปะทะส่วนใหญ่ยังคงไม่ได้รับเงินเยียวยา และการช่วยเหลือที่เป็นรูปธรรม ต้องอาศัยอยู่ในที่พักชั่วคราว ซึ่งไม่เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตประจำวัน ขณะเดียวกันครอบครัวที่เคยประกอบกิจการขนาดเล็กเพื่อหารายได้ต้องหยุดกิจการมาหลายเดือน ส่งผลให้ขาดรายได้และต้องเผชิญกับภาระหนี้สินที่เพิ่มพูนขึ้น และสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยและเจ้าของธุรกิจในพื้นที่ แม้จะพยายามอาศัยระบบประกันภัยเพื่อชดเชยความเสียหาย แต่ระบบดังกล่าวไม่สามารถครอบคลุมความเสียหายได้ เนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวจัดอยู่ในลักษณะของภัยสงคราม ซึ่งระบบประกันภัยไม่รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดจากภัยสงครามหรือเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อง

        นางสาวภิญญาพัชญ์ กล่าวด้วยว่า เรื่องดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงข้อจำกัดเชิงโครงสร้างของระบบการเยียวยาในประเทศไทย โดยเฉพาะภัยที่เกิดจากเหตุการณ์ชายแดนหรือเหตุการณ์ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับภัยสงครามยังไม่มีกรอบการดำเนินการที่ชัดเจน ส่งผลให้ประชาชนต้องตกอยู่ในภาวะเสี่ยงและไม่มั่นใจในความคุ้มครองพื้นฐานจากภาครัฐ ดังนั้น ตนมีข้อเสนอแนะไปยังรัฐบาลให้เร่งรัดกระบวนการจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ได้รับผลกระทบโดยเร็วที่สุด โดยไม่ควรจำกัดเฉพาะครัวเรือนที่มีบ้านเสียหายเท่านั้น แต่ควรขยายความช่วยเหลือไปยังประชาชนทั่วไปที่สูญเสียรายได้จากเหตุการณ์การปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา รวมถึงผู้ประกอบการรายย่อยซึ่งเป็นกลไกสำคัญในระบบเศรษฐกิจท้องถิ่น นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องทบทวนและปรับปรุงหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเยียวยาที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความไม่สงบหรือภัยสงคราม ให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริงของพื้นที่ชายแดน โดยควรกำหนดหลักเกณฑ์ที่มีความยืดหยุ่นและสะท้อนความเป็นจริงของประชาชนที่อยู่ในสภาวะเสี่ยงต่อเหตุการณ์ลักษณะดังกล่าวอยู่ตลอดเวลา เช่นเดียวกับการจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือฉุกเฉินเพื่อรองรับสถานการณ์ที่ระบบประกันภัยไม่สามารถชดเชยความเสียหายได้ โดยกองทุนดังกล่าวควรครอบคลุมทั้งประชาชนทั่วไปและผู้ประกอบการรายย่อย เพื่อให้สามารถเข้าถึงการช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็ว ลดความเดือดร้อน และเสริมสร้างความมั่นใจว่ารัฐบาลจะไม่ทอดทิ้งประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนในยามวิกฤต แต่จำเป็นต้องมีกรอบการทำงานที่ชัดเจน รวดเร็ว และทั่วถึง เพื่อไม่ให้ประชาชนในพื้นที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

ณัฐพล  สงววนทรัพย์  ข่าว/เรียบเรียง

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ