นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงความคืบหน้าสำรวจคดีฮั้ว สว. หลังมีกระแสข่าวว่าตั้งคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนชุดที่ 27 ขึ้นมา ว่าหากมีการพิจารณาในสำนวนแล้วเจอกลุ่มการกระทำผิดอื่นที่ไม่อยู่ในสำนวนใดสำนวนหนึ่ง อาจมีการตั้งคณะกรรมการไต่สวนขึ้นมาใหม่ เนื่องจากมีความปรากฏขึ้นใหม่ ส่วนเรื่องที่สอบไปก่อนหน้านี้ มีการแยกเป็นสำนวน เพราะเรื่องการเลือก สว. มีเรื่องร้องเรียนเข้ามากว่า 500 เรื่อง ขณะนี้อยู่ในขั้นการพิจารณาของสำนักงานซึ่งจะครบกำหนดการพิจารณาในวันที่ 16 กันยายน นี้ เมื่อเทียบกับสำนวนอื่น หากพบการกระทำผิดอื่นอีกสามารถตั้งเป็นความปรากฏขึ้นได้อีก ส่วนเรื่องตัวผู้กระทำผิด พบว่าเป็นผู้กระทำผิดกลุ่มเดิมแต่ขยายฐานความผิดใหม่ เนื่องจากในขณะที่มีการร้องเรียนเป็นการร้องในฐานความผิดอื่น แต่เมื่อสอบแล้วพบว่ามีมูลและพบการกระทำผิดอย่างอื่นด้วย
นายแสวง ยืนยันว่าการตั้งคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนชุดที่ 27 ขึ้นมา ไม่เกี่ยวกับการยื้อเวลาเพื่อช่วยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และไม่เกี่ยวข้องกับสำนวนก่อน สำนวนเดิมต้องว่ากันไปตามกรอบเวลา ตามขั้นตอน ส่วนประเด็นที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พาดพิงว่าตนเองเป็นคนบุรีรัมย์ อาจจะช่วยเหลือคนบุรีรัมย์ด้วยกันนั้น ตนไม่ขอพูดถึง ขอดูแลเฉพาะงานซึ่งตนดำเนินการตามข้อเท็จจริง กฎหมาย ให้ความยุติธรรม โดยมีองค์ประกอบ 3-4 เรื่อง ได้แก่ ขั้นตอน เวลา การได้รับปฏิบัติอย่างเป็นธรรม และข้อเท็จจริงที่รวบรวมได้ ในการพิจารณาจะคำนึงถึงทุกองค์ประกอบดังกล่าว ส่วนการที่รัฐบาลใหม่ จะแต่งตั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับ สว.คนหนึ่ง กกต. จะมีบทบาทเข้าไปตรวจสอบหรือไม่ นายแสวง กล่าวว่า ไม่ได้อยู่ในอำนาจ กกต. เพราะ กกต. ตรวจสอบการกระทำที่ไม่สุจริตเกี่ยวกับการเลือกตั้ง หรือมีความเห็นให้ สส.พ้นจากตำแหน่ง ยืนยันว่าแม้จะมีหลักฐานว่ามีความสนิทก่อนจะมาเป็น สว. แต่ไม่ได้อยู่ในอำนาจของ กกต.
อัญชิสา ก่อกิจฤกษ์ชัย ข่าว/เรียบเรียง