16 ก.ย.68- สว.พละวัต ชี้ค่าเงินบาทแข็งผิดปกติ หวั่นกระทบส่งออก-ท่องเที่ยว คาดสาเหตุเกิดจากการไหลเข้าของเงินผิดกฎหมาย จี้รัฐออกมาตรการรับมือเร่งด่วน แนะ ธปท.-กรมศุลกากร-ปปง. ตรวจสอบแหล่งเงินที่ไหลเข้าประเทศอย่างผิดปกติ

image

        นายพละวัต  ตันศิริ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) กล่าวถึงมาตรการรับมือกับสถานการณ์เงินบาทแข็งค่าอย่างผิดปกติ เมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่นของประเทศเพื่อนบ้านซึ่งเป็นคู่แข่งในการส่งออก และส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวของไทย ว่า ตามที่ตนได้ลงพื้นที่ในโครงการสมาชิกวุฒิสภา (สว.) พบประชาชน โดยรับฟังเสียงสะท้อนจากประชาชนและผู้ประกอบการส่งออกสินค้า เกี่ยสกับปัญหาเงินบาทแข็งค่า ซึ่งทำให้สินค้าไทยแข่งขันในตลาดโลกได้ยากขึ้น กล่าวคือ หากช่วงต้นปีสินค้าไทยและสินค้าเวียดนามมีราคา 100 ดอลลาร์สหรัฐเท่ากัน ปัจจุบัน ผู้ซื้ออาจต้องจ่ายเงินถึง 107-108 ดอลลาร์สหรัฐสำหรับสินค้าไทยชิ้นเดิม ในขณะที่สินค้าเวียดนามอาจมีราคาเหลือเพียง 95-96 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น นั่นหมายความว่า สินค้าของไทยมีราคาแพงกว่าประเทศเพื่อนบ้านถึงเกือบ 11-12% เช่นผลกระทบโดยตรงต่อภาคการท่องเที่ยวด้วย เนื่องจากแพ็กเกจทัวร์ของไทยจะมีราคาสูงขึ้นเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน

        นายพละวัต กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พยายามเข้ามาดูแลค่าเงินบาทไม่ให้มีความผันผวนมากเกินไป ทั้งนี้ มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า สาเหตุที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าอาจเกิดจากไหลเข้าของเงินเทา หรือเงินผิดกฎหมาย โดยเฉพาะการแข็งค่าของเงินบาทในระดับนี้ถือว่าผิดปกติเมื่อพิจารณาจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัวดีนัก ซึ่งเงินเทาดังกล่าวทำให้ความต้องการเงินบาทในตลาดเพิ่มขึ้นอย่างมาก ดังนั้น รัฐบาล จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน เช่น กรมศุลกากร และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ในการติดตามและตรวจสอบแหล่งที่มาของเงินเหล่านี้อย่างจริงจัง

        นายพละวัต กล่าวถึงข้อเสนอมาตรการแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่าใน 3 ระยะ ประกอบด้วย 1. มาตรการเร่งด่วน โดยออกมาตรการเยียวยาเฉพาะกลุ่ม สำหรับผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าไปแล้วแต่ยังขายไม่ได้ โดยอาจเป็นการสนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ำเพื่อช่วยพยุงธุรกิจ รวมทั้งสนับสนุนเงินสำหรับการประกันความเสี่ยง จากอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อป้องกันผลกระทบหากเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นอีก 2. มาตรการระยะกลาง ธปท.ควรจัดตั้งศูนย์บริการรูปแบบ One-Stop Service เพื่อบูรณาการข้อมูลร่วมกับกรมศุลกากรและ ปปง. ในการติดตามแหล่งเงินที่ไหลเข้าประเทศอย่างผิดปกติ พร้อมทั้งจัดทำโครงการสนับสนุนการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินเป็นกลุ่ม (Group Hedging) เพื่อช่วยลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) และ 3. มาตรการระยะยาว ต้องส่งเสริม การลงทุนที่เน้นการเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) เพื่อสร้างสินค้าที่มีความแตกต่างจากประเทศเพื่อนบ้านและเป็นที่ต้องการของตลาดโลกอย่างแท้จริง เช่นเดียวกับการขยายตลาดยุทธศาสตร์ไปยังประเทศคู่ค้าใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มช่องทางในการระบายสินค้าและส่งเสริมการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอทั้งหมดนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม และหวังว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะนำไปพิจารณาดำเนินการต่อไป

 

ณัฐพล  สงวนทรัพย์  ข่าว/เรียบเรียง

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ