นายนพดล อินนา ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาข้อดีข้อเสียการยกเลิก MOU 2543 และ MOU 2544 เพื่อแก้ไขปัญหาชายแดนไทย - กัมพูชา กล่าวถึงความคืบหน้าในการศึกษา MOU 2543-2544 วุฒิสภา และกรณีที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะลงนามสันติภาพกับกัมพูชา โดยมีนายโดนัล เจ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ร่วมสังเกตการณ์ด้วย ว่า ประเทศไทยและกัมพูชามีชายแดนติดกันถึง 798 กิโลเมตร อย่างไรเสีย ไม่ว่าช้าหรือเร็วก็ต้องอยู่ด้วยกันให้ได้ โดยจะย้ายประเทศก็ไม่ได้อยู่ดี ถ้าข้อตกลงที่ยื่นไป 4 ข้อทางกัมพูชารับได้ ถือว่าบรรลุเป้าหมาย ซึ่งถือเป็นก้าวแรกที่ดีเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่อย่างไรก็ตาม ต้องดูต่อไปว่าเมื่อลงนามแล้ว ทางกัมพูชาจะปฏิบัติตามที่เรายื่นข้อตกลง 4 ข้อหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน
นายนพดล กล่าวอีกว่า รัฐบาลคงต้องติดตามดูอย่างใกล้ชิด เพราะในอดีตที่ผ่านมาจะเห็นอยู่เหมือนกันว่าการปฎิบัติของกัมพูชามักจะไม่ตรงไปตรงมา อีกประการหนึ่งคือการลงนามรอบนี้มีทั้งสหรัฐอเมริกาและมาเลเซียเป็นผู้สังเกตการณ์อยู่ด้วย ถ้าหากไม่ลงนาม ก็จะดูเสมือนว่าไทยไม่ให้ความร่วมมือในสายตาชาวโลกในการได้มาซึ่งสันติภาพ ซึ่งประกาศมาโดยตลอดว่าเราต้องการสันติภาพต้องการความสงบสุข
นายนพดล ยังกล่าวว่า ความคืบหน้าของ กมธ.ศึกษา MOU 2543-2544 ตอนนี้คืบหน้ามากกว่า 50% แล้ว นอกจากเรื่องความเป็นมาเป็นไปของ MOU ยังมีข้อเท็จจริงที่ประชาชนยังไม่ได้รับรู้ทั้งฝั่งที่สนับสนุนและคัดค้าน ซึ่งหาก กมธ. ได้รายงานให้ทราบแล้วจะทำให้ทราบข้อเท็จจริงมากขึ้น ถือเป็นการปูพื้นฐานให้เห็นถึงเนื้อหา โดยในวันที่ 28 ต.ค. นี้ ยืนยันว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี จะมาให้ข้อมูลต่อ กมธ. แน่นอน ในช่วงบ่าย
อัญชิสา ก่อกิจฤกษ์ชัย ข่าว/เรียบเรียง