30 ต.ค.68 - กมธ.การเกษตรฯ สผ. รับหนังสือจากเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมฯ ร้องตรวจสอบทุจริตโคนม แนะ แยกฉลากนมแท้–นมผง พร้อมเพิ่มวันดื่มนม รร. 365 วัน แก้ปัญหาราคานมตกต่ำ - น้ำนมล้นตลาด 

image

         นายสัมฤทธิ์ แทนทรัพย์ พร้อมด้วย นายศักดินัย นุ่มหนู ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การเกษตรและสหกรณ์ สภาผู้แทนราษฎร รับหนังสือจากตัวแทนเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมทั่วประเทศ ที่กำลังประสบปัญหาความเดือดร้อนจากราคานมตกต่ำและน้ำนมล้นตลาด ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตอย่างหนัก
        โดย ตัวแทนเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม กล่าวว่า ปัจจุบันสหกรณ์มีโควตานมเกินวันละ 22 ตัน ไม่มีที่รับซื้อ ทำให้สหกรณ์กำลังจะปิดตัว และยังมีโรงงานเอกชนอีกหลายแห่งที่กำลังจะปิด อาทิ รุ่งอรุณ แดรี่ จ.นครราชสีมา และโรงงานที่หนองย่างเสือ จ.สระบุรี รวมกว่า 340 แห่ง โดยขณะนี้มีเกษตรกรผู้เสียหายร่วมลงรายชื่อกว่า 1,000 รายจากทั่วประเทศ เนื่องจากน้ำนมล้นเกินโควตา MOU และราคารับซื้อตกต่ำเหลือเพียง 18 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งไม่คุ้มต้นทุนการผลิต บางพื้นที่ราคาตกต่ำเหลือเพียง 15-16 บาท และมีการเทนมดิบทิ้งแล้ว โดยชี้ให้เห็นข้อสงสัยจากตัวเลขที่ผิดปกติว่า เมื่อปี 2566 ประเทศไทยมีวัวรีดนมทั้งหมด 260,000 กว่าตัว ผลิตน้ำนมได้ 2,671 ตันต่อวัน แต่ปัจจุบันวัวรีดนมเหลือเพียง 200,000 ตัว ลดลงเกือบ 30,000 ตัว กลับกลายเป็นว่าน้ำนมดิบเพิ่มขึ้นเป็น 3,055 ตันต่อวัน เพิ่มขึ้น 10% ซึ่งผิดหลักวิชาการอย่างชัดเจน อาทิ หน่วยงานที่เข้ามาตรวจสอบฟาร์มไม่เคยลงไปตรวจนับวัวจริง แต่จะถามเจ้าของฟาร์มเพียงอย่างเดียว และไม่มีระบบบันทึกข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์หรือแอปพลิเคชันที่ส่งข้อมูลตรงเข้าระบบ ทำให้มีช่องว่างให้เกิดการทุจริตได้ง่าย โดยเฉพาะในโครงการนมโรงเรียน โดยจากข้อมูลจากกระทรวงศึกษาธิการ พบว่า เด็กไทยอายุ 14-19 ปี มีส่วนสูงลดลง 12.9% ในขณะที่รัฐบาลตั้งเป้าให้เด็กไทยมีส่วนสูงถึง 180 เซนติเมตรในปี 2579 จึงขอให้ กมธ.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งจัดการเรื่องการทุจริตตัวเลขโคนม โดยขอให้สำรวจและตรวจสอบตัวเลขอย่างจริงจัง และดำเนินการแยกฉลากนมให้ชัดเจน ระหว่างนมโคสด 100% กับนมที่มีส่วนผสมของนมผง (นมคืนรูป) ซึ่งปัจจุบันมีนมบางยี่ห้อที่มีส่วนผสมของนมเพียง 11-20% แต่กลับเรียกว่า นมสด ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดและสร้างอุปสงค์อุปทานเทียม จึงควรมีการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำนมโค 50 - 60% ขึ้นไปเท่านั้นจึงจะใช้คำว่านมได้ ทั้งนี้ ปัจจุบันประเทศไทยมีเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมประมาณ 15,000 ครัวเรือน มีวัวรีดนมประมาณ 240,000 ตัว และวัวทั้งระบบเกือบ 500,000 ตัว หากปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไข เกษตรกรอาจต้องส่งวัวเข้าโรงเชือด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อราคาเนื้อวัวด้วย 
          ด้าน นายสัมฤทธิ์ กล่าวว่า ปัญหานี้เคยเกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา กมธ.ได้ศึกษาและผลักดันจนทำให้ราคานมปรับขึ้นมาที่ 21 บาทต่อกิโลกรัม แต่ปัจจุบันปัญหากลับมาอีกครั้ง ทาง กมธ.จะนำเรื่องนี้เข้าสู่การประชุม และอาจจัดประชุมในวาระพิเศษก่อนเปิดสมัยประชุมเพื่อหาแนวทางแก้ไขให้ทันท่วงที โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว ปริมาณน้ำนมดิบจะเพิ่มขึ้นอีก ปัญหาจะทวีความรุนแรงมากขึ้น สำหรับแนวทางแก้ปัญหาเบื้องต้น เห็นว่า รัฐบาลควรพิจารณาเพิ่มวันที่เด็กนักเรียนได้ดื่มนมเป็น 365 วันต่อปี หรือขยายโครงการนมโรงเรียนให้ครอบคลุมถึงระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 เพื่อช่วยแก้ปัญหาน้ำนมล้นตลาด พร้อมทั้งส่งเสริมสุขภาพเด็กและเยาวชน เพื่อแก้ปัญหาให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมอย่างเป็นรูปธรรมและทันท่วงที

อรุณี ตันศักดิ์ดา ข่าว/เรียบเรียง

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ