นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าววิทยุและโทรทัศน์รัฐสภา ระหว่างการเดินทางกลับจากการเยือนสาธารณรัฐฮังการี ถึงการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า เรื่องการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญ มี 2 เงื่อนไข คือ รัฐบาลต้องประสานมายังรัฐสภา และร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ต้องพิจารณาให้จบในชั้นกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ แต่ส่วนตัวเกรงว่าคณะกมธ. จะพิจารณาไม่เสร็จทันกลางเดือน พ.ย. นี้ แต่ตามที่คาดการณ์ คาดว่าจะเป็นช่วงปลายเดือน พ.ย. หรือต้นเดือน ธ.ค.
ประธานรัฐสภา กล่าวด้วยว่า หากมีการเปิดการประชุมในช่วงนี้อาจจะเกิดปัญหาเรื่ององค์ประชุม เพราะกมธ.ที่เป็น สส. บางส่วนส่วนเดินทางไปราชการต่างประเทศ ขณะเดียวกันเมื่อการพิจารณาวาระที่ 2 เสร็จสิ้นจำเป็นต้องรอ 15 วัน เพื่อลงมติวาระที่ 3 แต่ทั้งนี้กระบวนการในวาระที่ 2 ควรเสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือน พ.ย. นี้ และเมื่อมีการเปิดสมัยประชุมจะทำให้ทันต่อการลงมติในวาระที่ 3 ทั้งนี้กระบวนการทั้งหมด คาดว่าจะเสร็จสิ้นก่อนถึงปีใหม่ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ระบุว่า อย่างน้อยที่สุด ตนต้องการให้สภาฯ ชุดนี้ ผ่านการพิจารณารัฐธรรมนูญในวาระที่ 3 เพื่อไปทำประชามติในการเลือกตั้ง สส. แต่ประการสำคัญที่สุด รัฐธรรมนูญจะผ่านการพิจารณาจากสภาได้หรือไม่ เป็นเรื่องที่คณะกมธ.จะต้องมีการพูดคุยกัน ทั้งในและนอกรอบ
ประธานรัฐสภา กล่าวเพิ่มเติมถึงกรณีที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ระบุว่าหากมีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจในช่วงนี้ อาจมีการตัดสินใจยุบสภา ประธานรัฐสภาให้ความเห็นว่า อำนาจการยุบสภาเป็นของนายกรัฐมนตรี ซึ่งสามารถทำได้ตลอดเวลา ยกเว้นกรณีที่มีการบรรจุญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจเข้าสู่วาระการประชุมแล้ว แต่ทั้งนี้กระบวนการยื่น อภิปรายไม่ไว้วางใจ ญัตติอาจไม่สมบูรณ์ก็เป็นได้ เช่น มี สส.ลงชื่อไม่ครบตามจำนวนที่กฎหมายกำหนด ดังนั้นแม้ว่าฝ่ายค้านจะยื่นญัตติต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว นายกรัฐมนตรียังยุบสภาได้ จนกว่าจะมีการบรรจุญัตติในวาระการประชุมสภา แต่ส่วนตัวมองว่า หากไม่มีประเด็นปัญหา ที่ต้องอภิปรายไม่ไว้วางใจ การอภิปรายย่อมจะไม่มีน้ำหนักเพียงพอ
สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา /ข่าว
สำนักประชาสัมพันธ์ สนง.สผ. /ภาพ
