นายรังสิมันต์ โรม ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงการปราบปรามขบวนการ สแกมเมอร์ของรัฐบาลว่า วันนี้ (12 พ.ย. 68) คณะกมธ.จะพิจารณาติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด โดยมีเป้าหมายหลักคือการตรวจสอบบริษัทเอกชน ซึ่งพบว่ามีข้อมูลเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดด้านสแกมเมอร์ในประเทศไทย และอาจเชื่อมโยงไปถึงลูกพี่ลูกน้องของนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา
นายรังสิมันต์ ระบุว่า ไทยควรเปิดปฏิบัติการเชิงรุกในการปราบปรามสแกมเมอร์และ ไทยเทา อย่างจริงจัง เพราะมีหลักฐานชี้ชัดว่าผู้มีอำนาจในกัมพูชาบางส่วนเกี่ยวพันกับเครือข่ายดังกล่าว โดยมองว่าช่วงเวลานี้ถือเป็นโอกาสดีที่ไทยควรเดินหน้าจัดการอย่างเด็ดขาด สำหรับกรณีที่รัฐบาลยึดทรัพย์ผู้เกี่ยวข้องได้จำนวนมาก นายรังสิมันต์มองว่า ยังเป็นเพียงการยึดชั่วคราว ยังไม่สามารถตอบได้ว่ากระบวนการจะสิ้นสุดที่ใด ส่วนล่าสุดที่มีการอายัดทรัพย์นักการเมืองรายหนึ่งถือเป็นความคืบหน้าระดับหนึ่ง เพราะไม่บ่อยครั้งที่จะเห็นนักการเมืองไทยถูกดำเนินการตามกฎหมาย แต่สิ่งสำคัญคือจะต้องตรวจสอบต่อไปว่ามีบุคคลอื่นเกี่ยวข้องอีกหรือไม่ เพราะจากเส้นทางการเงินพบว่ามีหลายคนพัวพันทั้งนี้ เชื่อว่าทรัพย์สินของกลุ่มสแกมเมอร์มีมูลค่ามหาศาล การยึดเพียง 100 กว่าล้านบาทอาจยังน้อยเกินไป และอาจมีการโยกย้ายหรือเปลี่ยนรูปทรัพย์สินไปก่อนหน้านี้ เช่น แปลงเป็นคริปโทเคอเรนซี ทองคำ หรือถือผ่านนอมินี ซึ่งไม่มั่นใจว่าภาครัฐจะตรวจสอบได้มากน้อยเพียงใด
นายรังสิมันต์ กล่าวอีกว่า ตนพร้อมให้ข้อมูลกับนายกรัฐมนตรี โดยย้ำว่าข้อมูลของ กมธ.ไม่ได้ปกปิด และนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล รู้ดีว่าใครบ้างที่เกี่ยวข้องกับขบวนการสแกมเมอร์ พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลตรวจสอบผู้ใต้บังคับบัญชาและหน่วยงานในสังกัดอย่างจริงจัง แทนการปฏิเสธว่าไม่รับรู้ เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า นายกรัฐมนตรีทราบข้อมูลแล้วเหตุใดยังไม่ดำเนินการ นายรังสิมันต์ระบุว่า อย่างน้อยนายกรัฐมนตรีต้องรู้เรื่องของ นายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ หรือ เบน สมิธ ซึ่งถูกกล่าวถึงว่าเชื่อมโยงกับทุนเทาในกัมพูชาและบุคคลสำคัญหลายรายในไทย แต่กลับยังไม่มีการจัดการอย่างจริงจัง ทำให้กระบวนการตรวจสอบติดขัด เพราะนักการเมืองบางกลุ่มยังมีอิทธิพลในระบบ
นายรังสิมันต์ กล่าวทิ้งท้ายว่า กลุ่มสแกมเมอร์หนึ่งแก๊งมีเงินหมุนเวียนเป็นหมื่นล้านบาท จึงต้องการให้รัฐบาลทำงานเชิงปฏิบัติมากกว่าการสื่อสาร เพราะขณะนี้สิ่งที่เห็นยังไม่เพียงพอต่อการสร้างความมั่นใจให้ประชาชน
ณัฐเดช เอียดปุ่ม /ข่าว /เรียบเรียง