นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย สมาชิกวุฒิสภา (สว.) กล่าวถึงความแตกต่างระหว่างการเลือกตั้งปี 2566 และ 2569 ว่า สิ่งที่แตกต่างอย่างแน่นอน คือ ไม่มี สว.ชุดพิเศษ ที่มีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรี ดังนั้น สำหรับคนที่มองว่าจะเลือกฝ่ายที่ชนะแน่ ๆ ก็คงไม่สามารถเลือกได้ แต่ในทางกลับกัน เรื่องของการได้มาซึ่งอำนาจก็เป็นเรื่องสำคัญ ที่ผ่านมาการอยู่ในอำนาจและการใช้อำนาจมีความสำคัญพอกัน และองค์กรที่ทำหน้าที่ในการพิจารณาว่านโยบายต่าง ๆ จะทำได้หรือไม่ หรือจะอยู่ในอำนาจได้หรือไม่ ไม่ถูกถอดถอนหรือถูกยุบพรรค ขึ้นอยู่กับองค์กรอิสระ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งอาจมองว่าฝ่ายใดที่มีอำนาจหรือมีอิทธิพลสามารถโน้มน้าวองค์กรอิสระได้ ก็คงจะเลือกฝ่ายนั้น ซึ่งจะเห็นจากปรากฏการณ์การย้ายพรรค ที่สุดท้ายอาจจะได้เสียงสนับสนุนจากผู้สิทธิเลือกตั้งที่ไม่ได้ซีเรียสเรื่องจุดยืนทางการเมืองมากเท่าไหร่นัก
เมื่อถามว่าการที่นักการเมือง ทั้งบ้านใหญ่ บ้านใหม่ ย้ายไปอยู่กับพรรคภูมิใจไทย จะทำให้พรรคภูมิใจไทยคว้าชัยชนะในสนามเลือกตั้งครั้งนี้ได้หรือไม่ นายเทวฤทธิ์ มองว่า มีโอกาสสูง โดยต้องไม่ลืมว่าด้วยโครงสร้าง สส.แบบบัญชีรายชื่อหรือปาร์ตี้ลิสต์ ที่เล่นกับกระแสพรรค มีเพียง 100 คน แต่ สส.แบบแบ่งเขต มี 400 คน ซึ่งสัดส่วนมากกว่า หากสามารถลงพื้นที่และทำได้ดี มีโอกาสจะชนะ ซึ่งผลสำรวจในไตรมาส 3 ของนิด้าโพลจะเห็นว่า 35-40% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งยังไม่ตัดสินใจเลือกใคร โดยหากย้อนไปไตรมาส 2 จะเห็นภาพชัดว่าเลือกพรรคประชาชน สะท้อนว่าปัจจุบันพรรคประชาชนมีปัญหาเรื่องภาวะผู้นำหรือผู้ที่จะโน้มน้าวดึงดูดใจ เมื่อเทียบกับการเลือกตั้ง เมื่อปี 2566 ที่มีมากกว่า จึงทำให้การทำการเมืองด้วยโจทย์ของความหวังนั้น ถูกลดบทบาทลง เมื่อประชาชนไม่ได้ไปเลือกตั้งด้วยความหวัง จึงไปด้วยโจทย์อื่น เช่น เลือกคนที่อยู่ใกล้ตัว มีเครือข่ายที่สัมพันธ์ในท้องถิ่น หรืออาจจะเลือกคนที่ไม่ชอบน้อยที่สุด ซึ่งตนมองว่านี่เป็นโจทย์ที่น่ากังวล เพราะจะทำให้ไม่เกิดการแข่งขันเชิงนโยบาย โดยช่วงเปิดตัวผู้สมัคร สส. ของแต่ละพรรค ไม่ค่อยพูดถึงนโยบาย แต่เน้นพูดถึงเบื้องหลังว่าผู้สมัครมีความสัมพันธ์กับบุคคลใดมากกว่า
เมื่อถามว่าการที่พรรคประชาชนเลือกนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี จะส่งผลกระทบในเรื่องของความเชื่อมั่นต่อพรรคประชาชนมากน้อยเพียงใดนั้น นายเทวฤทธิ์ กล่าวว่า สิ่งที่เห็นได้ชัดคือพวกนักเคลื่อนไหวทางการเมือง นักกิจกรรมที่มีจุดยืนทางการเมืองชัดเจนก็น่าจะผิดหวัง ส่วนการแก้รัฐธรรมนูญนั้น ประเมินได้ว่าพรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคที่ได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ดังนั้น แนวโน้มจึงไม่น่าจะให้มีการแก้รัฐธรรมนูญหรือหากแก้ก็จะต้องมีเงื่อนไข อย่างการให้คงไว้ซึ่งเสียง สว. 1 ใน 3 ขณะที่ผลสำรวจของนิด้าโพล เมื่อไตรมาส 2 พรรคประชาชนได้คะแนนมากถึง 40% แต่เมื่อผนวกกับสถานการณ์ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา กับการเลือกนายอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้ผลสำรวจครั้งถัดมาคะแนนตกไปมาก สะท้อนให้เห็นถึงวิกฤตความเชื่อมั่นในการดำเนินการของพรรคประชาชน แต่คิดว่าพรรคประชาชนน่าจะมีโจทย์ใหม่ในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้
เมื่อถามว่าพรรคประชาชนจะแก้วิกฤตศรัทธานี้อย่างไร นายเทวฤทธิ์ หวังว่า จะสามารถปลุกการเมืองเชิงความหวังขึ้นมาได้ ด้วยการเสนอนโยบายหรือโครงการทางการเมือง ที่ผ่านมาหลายพรรคอาจจะเปิดตัวด้วยนโยบายด้านเศรษฐกิจมากกว่า แต่ยังไม่เห็นนโยบายทางการเมือง ซึ่งยอมรับว่าหากพูดนโยบายทางการเมืองในห้วงเวลานี้ ไม่ได้เอาใจผู้เลือก แต่หากอยากให้คนกลับมาสนใจโครงการหรือนโยบายทางการเมือง เช่น การแก้รัฐธรรมนูญ หากพูดตอนนี้อาจจะเสียมากกว่าได้ แต่มองว่าเป็นนักการเมืองต้องกล้าที่จะพูด แม้เป็นเรื่องยากโดยเฉพาะช่วงเวลานี้ที่มีกระแส ทั้งเหตุปะทะชายแดนและเรื่องสแกมเมอร์ ซึ่งพรรคประชาชนอาจจะไปโฟกัสที่การแก้ปัญหาสแกมเมอร์ ตนคิดว่าพูดได้ แต่ต้องไม่ทิ้งตัวตนของพรรค นั่นคือ การเป็นผู้นำทางด้านโครงการหรือนโยบายทางการเมือง ซึ่งถือว่าเป็นโจทย์ยากสำหรับพรรคประชาชน
ทัดดาว ทองอิ่ม ข่าว / เรียบเรียง