คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร จัดโครงการสัมมนาเรื่อง "เวทีรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ...." โดยมีนักวิชาการ ตัวแทนภาคเอกชน ภาคประชาสังคม สภาองค์กรของผู้บริโภค และประชาชน เข้าร่วม ณ ห้องสัมมนา ชั้น 6 อาคารรัฐสภา
นางสาวภคมน หนุนอนันต์ กรรมาธิการฯ กล่าวเปิดการสัมมนาว่า ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของประชาชน เกี่ยวข้องกับคณะกรรมาธิการฯ ซึ่งโดยส่วนตัวรับหน้าที่ในส่วนของการสื่อสารมวลชน ที่หลายครั้งคณะกรรมาธิการฯ ได้รับเรื่องร้องเรียนที่เกี่ยวข้องกับการคุกคามสื่อ แต่ยังพบว่ามีประเด็นอื่นเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำหน้าที่สื่อมวลชน คือ การใช้สื่อเพื่อโฆษณาหลอกหลวง มีวัตถุประสงค์แอบแฝง โดยคณะกรรมาธิการฯ มีการแก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภคฯ มาตราที่เกี่ยวกับการโฆษณา แต่ก็ไม่เพียงพอ ยังมีอุปสรรคในการคุ้มครองผู้บริโภค รวมถึงการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ เคยเชิญตัวแทนสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เข้ามาหารือ และพบปัญหาของการใช้บังคับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น คณะกรรมาธิการฯ จึงตัดสินใจจัดสัมมนาในครั้งนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อการแก้ไขกฎหมายดังกล่าว
สำหรับการสัมมนาในหัวข้อ "ข้อเสนอเพื่อการปรับปรุงร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. .... ให้สอดคล้องกับบริบททางเศรษฐกิจสังคมและเทคโนโลยีในปัจจุบัน" มีนางสาวภคมน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ เอมผกา เตชะอภัยคุณ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายชัยรัตน์ แสงอรุณ กรรมการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และนายศิระณัฐ วิทยาธรรมธัช นิติกรชำนาญการ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เข้าร่วม
นายชัยรัตน์ ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นของการแก้ไขกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคว่า ปัจจุบันพฤติกรรมการบริโภคของผู้คนได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เป็นการบริโภคสินค้าและบริการผ่านทางออนไลน์ ซึ่งทำให้ไม่มีโอกาสได้เลือกสินค้าจริงได้ ทำให้เกิดการหลอกลวงผ่านออนไลน์ การส่งสินค้าไม่ตรงปกเกิดขึ้น โดย พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ไม่ครอบคลุม เป็นการออกกฎหมายในยุคแอนะล็อก แต่ตอนนี้เป็นยุคดิจิทัลที่สมบูรณ์ ขณะที่เรื่องสิทธิผู้บริโภคในกฎหมายเดิม มีเพียง 4-5 ประการ แต่ระดับสากลนั้น มีเป็น 10 ข้อ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องทำให้เท่าเทียมกับระดับสากล ตลอดจนการแก้ปัญหาข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหล ที่เป็นปัญหาใหญ่ในยุคดิจิทัลนี้ด้วยเช่นกัน
ด้าน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ เอมผกา กล่าวถึงที่มาของร่างกฎหมายฉบับใหม่ที่แตกต่างจากกฎหมายฉบับเดิมว่า เป็นร่างกฎหมายที่มาจากการเปิดรับฟังของภาคประชาชนหรือสภาองค์กรของผู้บริโภค ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ที่พบว่าปัญหาในแต่ละพื้นที่นั้นแตกต่างกัน ร่วมกับความเห็นจากนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญต่าง ๆ ส่วนการแก้ไขในเชิงเนื้อหา เป็นการเขียนใหม่ทั้งฉบับ แบ่งหมวดหมู่ใหม่ ซึ่งต้องการยกระดับกฎหมายให้เท่าเทียมกับระดับสากล โดยมีการเปรียบเทียบกับกฎหมายต่างประเทศที่ศึกษาไว้ก่อนหน้านี้ ส่วนแรก คือ การนิยามคำต่าง ๆ ให้ชัดเจน เช่น ผู้บริโภค ที่หลายครั้งมีประเด็นของการตีความที่คลุมเครือ เกิดการถกเถียงทั้งในทางปฏิบัติและทางวิชาการค่อนข้างมาก ดังนั้น สภาองค์กรของผู้บริโภคจึงพยายามที่จะให้นิยามอย่างชัดเจน มีการเพิ่มเติมข้อความ เช่น ถ้าซื้อไปใช้ในชีวิตประจำวัน ในครัวเรือน หรือในการประกอบอาชีพรายย่อย ให้ถือเป็นผู้บริโภค เช่น เกษตรกร ส่วนองค์ประกอบของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ที่เดิมใช้แนวคิดให้คณะกรรมการมาจากภาครัฐ ผู้บริโภคหรือผู้ประกอบธุรกิจ ไม่ได้มีส่วนร่วมของภาคประชาชนมากนัก จึงเห็นควรให้เปลี่ยนสัดส่วนของคณะกรรมการใหม่ ให้มีตัวแทนสภาองค์กรของผู้บริโภคที่เป็นตัวแทนของผู้บริโภคตามกฎหมายมีสัดส่วนมากขึ้น นอกจากนี้ ยังให้มีคณะกรรมการเพิ่มขึ้นอีกหลายชุด ให้เชื่อมโยงกับการซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์ เกี่ยวข้องกับสินค้าชำรุดบกพร่อง ตลอดจนการระงับข้อพิพาท การไกล่เกลี่ยคดี ขณะเดียวกันได้กำหนดบทบาทอำนาจหน้าที่สภาองค์กรของผู้บริโภคอย่างชัดเจน ในการดำเนินคดีทางกฎหมายแทนผู้บริโภค ทั้งนี้ ร่างกฎหมายฉบับใหม่ยังมีการใช้ภาษาที่ทำให้ประชาชนเข้าใจได้ง่ายขึ้นด้วย
ขณะที่นายศิระณัฐ กล่าวว่า ก่อนจะมี พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ใช้บังคับ พบว่ามีการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคมาอย่างต่อเนื่อง ตามความจำเป็นและความเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี และเมื่อมี พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค ก็มีการแก้ไขมาตลอด ตั้งแต่ปี 2541, 2561 จนถึง 2562 โดยจะต้องนิยามให้ได้ ว่า ใครคือผู้บริโภค ควรจะได้รับความคุ้มครองอย่างไร และใครจะเข้ามาทำหน้าที่นี้ ซึ่งมีหลายองค์กรทั้งภาครัฐและประชาชน รวมถึงการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยมองว่าปัญหามีอยู่ 2 ระดับ คือ การใช้บังคับกฎหมาย ที่มีความพยายามแก้ไขมาโดยตลอด และการที่หน่วยงานรัฐแก้ไขปัญหาล่าช้า เนื่องจากทรัพยากรไม่เพียงพอ โดย สคบ. เอง พยายามสร้างกลไกต่าง ๆ ให้เข้าถึงประชาชนได้สะดวกมากขึ้น เช่น ระบบการร้องเรียนผ่านทางออนไลน์ เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว
ด้าน นางสาวภคมน กล่าวว่า ที่ผ่านมาคณะกรรมาธิการฯ ได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของประชาชน การถูกหลอกลวงผ่านสื่อโฆษณา เช่น กรณีดิ ไอคอน กรุ๊ป ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ เคยเชิญ สคบ. และ กสทช. มาพูดคุย จึงทำให้เห็นข้อจำกัดในเชิงกฎหมายอย่างมากที่จะเอาผิดกับผู้กระทำความผิดได้ โดยกรณีนี้มีทั้งผู้ที่ได้รับโทษไปแล้ว แต่ก็ยังมีผู้ที่ไม่ได้รับโทษ นั่นคือ รายการโทรทัศน์ ที่ไม่เห็นถึงความรับผิดรับชอบ ทั้งที่เป็นต้นเหตุของการทำให้ประชาชนหลงเชื่อ โดย สคบ. ระบุว่า หากไม่มีผู้ร้องเรียนก็ไม่สามารถเรียกมาชี้แจงได้ ขณะเดียวกันทางผู้ผลิตรายการเองก็ยินดีจะจ่ายค่าปรับ ซึ่งน้อยมากหากเทียบกับรายได้จากการซื้อเวลาออกอากาศ ทั้งนี้ คาดหวังว่าสื่อมวลชนจะมีความรับผิดชอบ อย่างน้อยแจ้งอย่างตรงไปตรงมาว่า เป็นการว่าจ้างให้นำเสนอ ซึ่งจะสามารถคุ้มครองผู้บริโภคขั้นต้นให้ได้รับรู้ว่าเป็นการโฆษณา ขณะเดียวกันการโฆษณาผ่านช่องทางออนไลน์ ยังพบว่าไม่มีกฎหมายครอบคลุมไปถึง ทำให้เกิดการหลอกลวงและมีผู้เสียหายจำนวนมากตามมา เช่น กรณีทองแม่ตั๊ก ซึ่งปัญหาทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เป็นช่องว่าง ของกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคที่จะต้องได้รับการแก้ไข ทั้งนี้ ในอนาคตคณะกรรมาธิการฯ อาจนำเสนอร่างกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคควบคู่ไปกับฉบับของภาคประชาชน เพื่อให้การคุ้มครองผู้บริโภคเกิดขึ้นอย่างครอบคลุม เทียบเท่าระดับสากล
ทัดดาว ทองอิ่ม ข่าว / เรียบเรียง