นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารพรรค กล่าวภายหลังการหารือกับสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย ณ ทรูดิจิทัลพาร์ค เพื่อรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับทิศทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ ว่า ผลการหารือครั้งนี้ได้ชี้ให้เห็นถึง ความท้าทายเชิงโครงสร้างที่เป็นอุปสรรคสำคัญในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล พร้อมกับเสนอให้รัฐบาลบริหารจัดการอย่างมีกลยุทธ์ ทั้งนี้ ตนมี 5 แนวทางที่ทำให้ประเทศมีความสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ ประกอบด้วย ความท้าทายด้านอธิปไตยข้อมูลและความมั่นคงของชาติ ในเรื่องการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลสำคัญของพลเมือง (เช่น ข้อมูลสุขภาพและการเงิน) โดยบริษัทต่างชาติ ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของชาติ และการจัดเก็บภาษีอย่างเป็นธรรม ซึ่งประเทศพัฒนาแล้วได้นำนโยบาย Data Localization มาใช้เพื่อบังคับให้บริษัทแพลตฟอร์มต่างชาติต้องมาจัดตั้งนิติบุคคลหรือศูนย์ข้อมูลในประเทศ อย่างไรก็ตาม การดำเนินการต้องเป็นไปอย่างระมัดระวัง เพื่อหลีกเลี่ยงการตอบโต้ทางการค้าจากมหาอำนาจ โดยอาจพิจารณาใช้มาตรการทางกฎหมายที่ไม่ใช่ประเด็นการค้าโดยตรง เช่น กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (GDPR-like) หรือการกำหนดข้อมูลที่มีความอ่อนไหวสูงเป็นพิเศษ (เช่น ข้อมูลพันธุกรรม) ให้ต้องจัดเก็บภายในประเทศเท่านั้น
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงวิกฤตการขาดแคลนกำลังคนดิจิทัล (Digital Talent Gap) ว่า แม้ว่าตลาดงานดิจิทัลจะมีความต้องการสูงและเสนอค่าตอบแทนที่สูง แต่ประเทศไทยยังคงมีปัญหาขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะที่จำเป็น โดยเฉพาะในสายงาน STEM แต่ปัญหาหลักไม่ได้อยู่ที่การผลิตของมหาวิทยาลัย แต่เกิดจากระบบการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาที่ยังไม่สามารถกระตุ้นให้นักเรียนเห็นความสำคัญและสนใจในสายงาน STEM โดยปัจจุบัน สัดส่วนบัณฑิตสาย STEM ของไทยยังต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้มาก และสัดส่วนประชากรที่มีทักษะการเขียนโค้ดก็ยังอยู่ในระดับต่ำ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงปัญหาในกลไกสนับสนุนสตาร์ทอัพและการร่วมลงทุน ว่า สภาพแวดล้อมทางกฎหมายและการลงทุนในประเทศยังไม่เอื้ออำนวย ทำให้นิติบุคคลสตาร์ทอัพส่วนใหญ่เลือกไปจดทะเบียนในต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ เป็นต้น ขณะที่ข้อจำกัดของกลไกรัฐ โมเดลการร่วมลงทุน (Co-investment) ของภาครัฐมีแนวโน้มให้เอกชนรับความเสี่ยงสูงในช่วงเริ่มต้น (Seed Stage) และรัฐบาลจะเข้าร่วมลงทุนเมื่อความเสี่ยงลดลงแล้ว (บริษัทเริ่มอยู่รอด) ซึ่งเป็นแนวทางที่สวนทางกับประเทศที่พัฒนาแล้วที่รัฐบาลมักยอมรับความเสี่ยงสูงในช่วงแรกเพื่อกระตุ้นนวัตกรรม ปัญหานี้ส่วนหนึ่งมาจากความกังวลของเจ้าหน้าที่รัฐเรื่องการถูกฟ้องร้องภายใต้มาตรา 157
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการให้ความสำคัญกับภาคอุตสาหกรรมดิจิทัลมูลค่าสูง ว่า หน่วยงานกำกับดูแลหลายแห่งยังคงมุ่งเน้นไปที่การดูแลโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม (Infrastructure Layer) ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มน้อยลง เมื่อเทียบกับเลเยอร์ที่สูงขึ้นในห่วงโซ่คุณค่าดิจิทัล เช่น แอปพลิเคชัน ข้อมูล และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ดังนั้น รัฐบาลควรปรับกลยุทธ์ไปเน้นที่การเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วน (Supplier) หรือการส่งออกวิศวกร AI ให้กับบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก แทนที่จะมุ่งสร้างแบรนด์เทคโนโลยีระดับโลกด้วยตนเอง เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในระยะยาว สุดท้าย คือ ความจำเป็นในการกำกับดูแลที่เหมาะสมกับการพัฒนาประเทศ รัฐบาลควรพิจารณานำกรอบการกำกับดูแลที่มุ่งเน้นการสนับสนุนให้เกิดการนำ AI ไปใช้ (Adoption) ในภาครัฐและเอกชนในวงกว้างก่อน จากนั้นจึงค่อย ๆ กำหนดขอบเขตข้อจำกัดตามมา เพื่อไม่ให้การกำกับดูแลเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนานวัตกรรมของประเทศ
ณัฐพล สงวนทรัพย์ ข่าว/เรียบเรียง