นายปารมี ไวจงเจริญ ประธานคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษาหลักสูตร และการพัฒนาระบบการศึกษาที่มีคุณภาพ ในคณะกมธ.การศึกษา สภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย นางสาวพิมพ์กาญจน์ กีรติวิราปกรณ์ รองประธานอนุกมธ. แถลงแสดงความเสียใจต่อการเสียชีวิตของนางสาวอนุสรา ชวนรัมย์ หรือ ครูมัท ครูสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนแห่งหนึ่งของจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งตัดสินใจจบชีวิตตนเองจากภาระงานที่หนักเกินรับไหว พร้อมเรียกร้องให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ใช้กรณีนี้เป็น หมุดหมายสำคัญในการปฏิรูปโครงสร้างการศึกษาไทยอย่างเร่งด่วน
นายปารมี ระบุว่า แม้สถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้จะตึงเครียด แต่ข้าราชการประจำใน ศธ. ยังคงทำงานอยู่ จึงขอเรียกร้องให้ ศธ. แก้ไขปัญหาภาระงานครูอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในโรงเรียนขนาดเล็กและขนาดกลาง ซึ่งเป็นสัดส่วนหลักของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) โดยมีข้อเสนอเพื่อการปฏิรูปโครงสร้างที่คณะอนุกมธ. เสนอ ได้แก่ การจัดสรรบุคลากรสายสนับสนุนการสอน ตามที่ระบุใน พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 มาตรา 38 ค. (2) ซึ่งกำหนดให้โรงเรียนมีเจ้าหน้าที่ธุรการ การเงิน พัสดุ และโภชนาการ แต่ ศธ. กลับไม่บรรจุตำแหน่งเหล่านี้ ส่งผลให้ครูต้องทำหน้าที่แทน จนเกิดภาระล้นมือ แก้ปัญหาอัตรากำลังคนที่ไม่สมดุล โดยกระจายครูจากโรงเรียนขนาดใหญ่ที่มีครูเกินความจำเป็น ไปยังโรงเรียนขนาดเล็กและขนาดกลางที่ประสบปัญหาขาดแคลนครู ซึ่งต้องหารือร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ปรับรูปแบบการจัดสรรงบประมาณ ที่ปัจจุบันใช้งบแบบรายหัวนักเรียน ซึ่งไม่เหมาะกับโรงเรียนขนาดเล็กที่จำนวนนักเรียนน้อย ทำให้ขาดงบพัฒนาคุณภาพการศึกษา อนุกมธ. เสนอให้เปลี่ยนเป็นการจัดสรรงบประมาณเป็นแบบวงเงินรวม ที่เหมาะสมกับบริบทของแต่ละโรงเรียน และปฏิรูปโครงสร้างของ ศธ. โดยชี้ว่า สพฐ. มีโรงเรียนในความดูแลเกือบ 30,000 แห่ง ครูกว่า 3-4 แสนคน ซึ่งเป็นโครงสร้างที่เทอะทะ ควรกระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่นและชุมชน ให้มีบทบาทในการบริหารและจัดการทรัพยากรทางการศึกษา
ด้าน นางสาวพิมพ์กาญจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การเสียชีวิตของครูมัทไม่เพียงสะท้อนปัญหาภาระงานเท่านั้น แต่ยังชี้ให้เห็นปัญหาหลายด้านในระบบการศึกษาไทย อาทิ การจัดสรรทรัพยากรไม่เป็นธรรม การไม่มีสวัสดิการที่เพียงพอ เงินเดือนที่ไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพ และความเสี่ยงทางกฎหมายที่ครูต้องเผชิญหากผิดพลาดในงานที่ไม่ใช่การสอน เช่น พัสดุหรือการเงิน ดังนั้นรัฐบาลต้องมีเจตจำนงจริงจังในการแก้ไขโครงสร้างงานในโรงเรียน คืนครูคืนเวลาให้กับนักเรียน ไม่ควรให้ครูแบกภาระงานนอกเหนือจากการสอนจนล้นมือ
ต่อข้อถามว่ากังวลหรือไม่ว่าเหตุการณ์นี้จะถูกมองว่าเป็นปัญหาของปัจเจกบุคคล นายปารมี ย้ำว่า กรณีของครูมัทไม่ใช่ครั้งแรก และไม่ใช่เรื่องเฉพาะบุคคล มีหลายกรณีที่ครูล้มป่วยหรือถึงแก่ชีวิตจากภาระงานที่มากเกินไป เรื่องนี้เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะสมมานาน และถึงเวลาต้องได้รับการแก้ไขจากต้นเหตุอย่างแท้จริง ซึ่งอนุกมธ. ยืนยันว่า หากมีการปฏิรูปทั้งระบบตามข้อเสนอ จะสามารถแก้ปัญหาได้ทั้งระยะสั้นและยั่งยืนในระยะยาว เพื่อคุ้มครองคุณภาพชีวิตของครูและนักเรียน
ณัฐเดช เอียดปุ่ม /ข่าว /เรียบเรียง