5 ส.ค. 68 - "วิโรจน์" ประธาน กมธ.ทหาร สภาฯ เรียกร้องผู้นำกัมพูชาเก็บศพทหาร-ให้เกียรตินักรบของตัวเอง พร้อมหวังทำตามข้อตกลงบ้าง เตือนไทยต้องรอบคอบ หวั่นถูกกัมพูชาใช้เป็นโอกาสโจมตีบนเวทีโลก

image

          นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ประธานกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ให้ความเห็นกรณีศพทหารกัมพูชาที่ไม่ได้ถูกนำไปประกอบพิธีอย่างถูกต้อง ว่า เดาใจสมเด็น ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา และนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ไม่ได้ แต่ตนคิดว่าเขาก็คงต้องให้เกียรตินักรบของเขาเหมือนกัน และเท่าที่ทราบ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมของไทยให้เกียรติกับนักรบอย่างดีที่สุดและเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทางกัมพูชาเองก็ควรให้เกียรติ ตนเข้าใจดีว่าการรับศพทหารกลับไป สร้างความหวาดหวั่นให้กับคนกัมพูชา แต่ขณะนี้ต่างฝ่ายต่างก็ต้องยืนบนพื้นฐานความเป็นจริง และความจริงนี้จะทำให้ทั้งไทยและทุกภาคส่วนน่าจะบรรลุผลสัมฤทธิ์ร่วมกัน
         นายวิโรจน์ ยังกล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GeneralBorderCommittee: GBC) ที่มีขึ้นในวันที่ 4-7 สิงหาคม นี้ ว่า หลายคนตั้งข้อสังเกตว่ากัมพูชารักษาสัญญาว่าจะไม่รักษาสัญญา ดังนั้น การบันทึกทุกอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร และมีแถลงการณ์ต่อประชาคมโลก ภูมิภาคอาเซียน ว่าข้อตกลงเป็นอย่างไร เรื่องนี้จึงสำคัญที่สุด เพราะการมีทูตต่างประเทศ หรือมีเพื่อนนานาชาติ มาเป็นพยานหรือร่วมสังเกตการณ์ด้วยจะเป็นผลดี ว่าข้อตกลงระหว่างไทยกับกัมพูชา ไทยได้ให้ความเคารพต่อข้อตกลงเสมอมา แต่ในขณะที่หวังว่ากัมพูชาจะเคารพข้อตกลงนั้น เพราะที่ผ่านมาในอดีตเคยละเมิดข้อตกลง 651 ครั้งแล้ว
          ส่วนหากมีการเจรจาแล้ว กัมพูชายังละเมิดข้อตกลงอีก นายวิโรจน์ คิดว่า นับจากนี้กระทรวงการต่างประเทศ ต้องมีบทบาทสำคัญกับสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มากขึ้น ต้องแถลงการณ์ ดำเนินการประท้วง ต้องดำเนินการผ่านองค์กรนานาชาติต่าง ๆ อย่างอาเซียนหรือที่ประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแห่งอาเซียน หรือ เวทีด้านความมั่นคงแห่งภูมิภาคอาเซียน ต้องมีการประท้วงหรือแจ้งให้ที่ประชุมทราบ หากพบว่ากัมพูชาละเมิดข้อตกลงอีก
          เมื่อถามถึงยุทธศาสตร์ของไทย ขณะนี้เดินมาถูกทางแล้วใช่หรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่า ตอนนี้เข้ารูปเข้ารอยมากขึ้น อาจจะมีการสื่อสารข้อความที่คลาดเคลื่อนไปบ้าง อย่าโทษกัน เพราะในช่วงนี้ การสื่อสารอาจจะหลุดไปบ้าง แต่นับจากนี้ต้องรัดกุม หากไทยเผลอเผยแพร่ข้อความที่บิดเบือน โดยเฉพาะมีการยืนยันว่าสื่อมวลชนได้รับจากทีมโฆษกรัฐบาลหรือทีมกลาโหม ก็จะยิ่งทำให้ฝ่ายกัมพูชานำเรื่องนี้ไปฟ้องประชาคมโลกอีก และกล่าวหาไทยจากความบกพร่องผิดพลาด กล่าวหาว่าไทยจงใจสื่อสารข้อความบิดเบือน ซึ่งไม่เป็นผลดีในการเจรจาบนเวทีนานาชาติ
          ส่วนการเตรียมเสนอญัตติให้สภาฯ ยกเลิก MOU 43 และ MOU 44 นายวิโรจน์ กล่าวว่า แต่ละพรรคมีกลไกในการหารือกันอยู่แล้ว แต่การยกเลิก MOU 43 ซึ่งเป็นเรื่องของพรมแดนบนบก และ MOU 44 ที่เป็นเขตแดนทางทะเล ตนคิดว่าการยกเลิกมันไม่ยาก แต่การร่างใหม่ต้องคิดไตร่ตรองให้รอบคอบ ซึ่งที่ผ่านมาไทยยืนยันว่าไม่เคยละเมิด MOU ที่ได้ลงนามไว้ แต่เป็นฝ่ายกัมพูชาที่ละเมิดข้อตกลง ดังนั้น การยกเลิกต้องนึกถึง MOU ฉบับใหม่ และจะต้องทำให้ประชาชนมั่นใจว่าไม่ได้เสียเปรียบ และเป็นการแก้ไขให้รัดกุมมากขึ้น เรื่องนี้ละเอียดมาก หากไทยหารือยังไม่รัดกุม อาจจะเป็นปัญหาลุกลามเกิดความปั่นป่วน ปลุกปั่น และเกิดความขัดแย้งกันเองภายในประเทศได้ ดังนั้น จำเป็นจะต้องดึงภาคส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างมากและทำให้โปร่งใส เปิดการมีส่วนร่วมของสาธารณะอย่างมาก เพื่อให้มั่นใจว่า MOU ฉบับใหม่ที่จะมาแทน จะรัดกุมและดีกว่าเดิม

ทัดดาว ทองอิ่ม ข่าว / เรียบเรียง

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ