นายกันต์พงษ์ ประยูรศักดิ์ รองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย นายภัณฑิล น่วมเจิม โฆษก กมธ. ร่วมแถลงข่าวว่า กมธ.ตระหนักถึงความสำคัญของการคุ้มครองผู้บริโภคส่วนบุคคลของผู้บริโภคจากการใช้แพลตฟอร์มต่างๆ โดยการยืนยันตัวตนผ่านระบบ World ID จึงได้เชิญตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจง อาทิ สำนักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) , สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) , ศูนย์ประสานงานความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (NCSA) และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC) โดยรับทราบข้อมูลว่า World ID เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้พิสูจน์ความเป็นมนุษย์ โดยใช้เทคโนโลยี Zero-Knowledge Proof (ZKP) ซึ่งเป็นโปรโตคอลทางคณิตศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าผู้ใช้เป็นมนุษย์จริง ไม่ใช่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) หรือหุ่นยนต์ เนื่องจากมีความกังวลว่าเทคโนโลยี AI จะเข้ามาแทนที่มนุษย์ในกิจกรรมต่างๆ อาทิ การซื้อตั๋วหนัง คอนเสิร์ต หรือการเล่นเกม ซึ่งกลไกการทำงานระบบ World ID ตนขออธิบายผ่านโมเดล World ประกอบด้วย W (World) การพิสูจน์ความเป็นมนุษย์ /O (Orb) อุปกรณ์ทรงกลมสำหรับสแกนม่านตา มีขนาดเท่าลูกเปตอง/ L (Login) ระบบเสริมความปลอดภัยในการเข้าระบบ/ และ D (Default) ข้อจำกัดตามกฎหมาย โดยขั้นตอนผู้ใช้จะต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน กรอกข้อมูล และนำตาไปสแกนที่อุปกรณ์ Orb เพื่อสร้างรหัสดิจิทัลจากม่านตา เมื่อลงทะเบียนสำเร็จ ผู้ใช้จะได้รับ World Coin อย่างไรก็ตาม มีประเด็นข้อกังวลหลายประการ โดยเฉพาะการเก็บข้อมูลส่วนบุคคล โดยแอปจะเก็บข้อมูลวัน เดือน ปีเกิด และข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ ทั้งหมด และข้อมูลชีวมาตร ด้วยการสแกนม่านตา ถือเป็น Sensitive Data ตามหลัก PDPA ส่อมีความเสี่ยงด้านไซเบอร์ เรื่องการโจรกรรมข้อมูลและอาชญากรรมไซเบอร์ โดยขณะนี้มีหลายประเทศได้ออกมาห้ามหรือไม่ยอมรับ World ID ได้แก่ ฮ่องกง เคนยา อินโดนีเซีย และบราซิลเนื่องจากถือว่าเป็นการเก็บข้อมูลชีวมาตรและมีความเสี่ยงด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ในขณะที่สถานการณ์ในประเทศไทยปัจจุบัน World ID มีจุดให้บริการ (Orb) ตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ และมีพาร์ทเนอร์กับร้านสะดวกซื้อ และแพลตฟอร์มเทรดคริปโตฯ ทั้งนี้ ก.ล.ต.ได้ให้ข้อมูลว่า World Coin ยังไม่ถือเป็นการเทรด เป็นเพียงวอลเล็ท จึงยังควบคุมไม่ได้ ขณะที่ ETDA ชี้แจงว่า ยังไม่สามารถกำกับควบคุมการดำเนินการ World ID ได้เนื่องจากไม่ใช่การยืนยันตัวตน แต่เป็นการยืนยันความเป็นมนุษย์ ซึ่งกฎหมายยังไม่มีการรองรับ ซึ่งตนเห็นว่า แม้เทคโนโลยีนี้จะเป็นนวัตกรรมที่ดี แต่อาจทำให้ประเทศสูญเสียมากกว่าได้รับ โดยเฉพาะในด้านความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน
ด้าน นายภัณฑิล กล่าวเตือนภัยประชาชนเรื่อง World ID หลังพบคนไทยกว่า 500,000 คนแล้ว ได้สแกนม่านตาแลก World coin มูลค่า 800-1,000 บาท โดยระบุว่าเป็นการตลาดแบบขาดความรับผิดชอบ มีความเสี่ยงสูงต่อข้อมูลชีวมาตร โดยเริ่มมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต่างจังหวัดรายงานว่า มีประชาชนไปต่อคิวกันเพื่อลงระบบดังกล่าวเป็นจำนวนมาก เพราะยังไม่แน่ใจถึงความปลอดภัยของข้อมูล โดยหน่วยงาน ที่เข้าชี้แจงกับ กมธ.ทุกหน่วยงานเห็นพ้องตรงกันว่า ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายสั่งหยุด World IDได้ เนื่องจากไม่มีกฎหมายรองรับ ทำให้เกิดช่องว่างทางกฎหมาย ไร้มาตรการคุ้มครองข้อมูลชีวมาตร ซึ่ง 4 จุดเสี่ยงหลัก คือ ผู้ดำเนินการ World ID ส่อขาดความโปร่งใส โดยอ้างว่าสแกนม่านตาแล้วจะเปลี่ยนเป็น Iris Code และจะถูกลบไป แต่ไม่มีใครตอบได้ว่าลบจริงหรือไม่ /การตลาดแบบขาดความรับผิดชอบมีการจ้างคนพาคนมาสแกน โดยให้ค่าตอบแทน 100 บาทต่อคน โดยพบในพื้นที่คลองเตย พระราม 4 มีการรับจ้างพาคนมาแลกเหรียญเป้าหมายกลุ่มผู้สูงอายุและชุมชน ซึ่งไม่เข้าใจความเสี่ยงไม่มีข้อมูลชี้แจงภาษาไทย/ ความเสี่ยงด้านการเงิน เพราะเป้าหมายคือการปั่นราคาเหรียญและไม่มีช่องทางถอนความยินยอมและเยียวยาประชาชนไม่สามารถขอยกเลิกหรือเรียกร้องให้ลบข้อมูลได้เมื่อข้อมูลม่านตาเข้าสู่ระบบแล้ว จึงขอย้ำเตือนประชาชนว่าอย่าแลกข้อมูลชีวมาตรเพราะเพียงแค่เหรียญฟรี หากข้อมูลถูกขโมย จะไม่สามารถเข้าหลายระบบได้ผู้ไม่ประสงค์ดีสามารถขโมยความเป็นมนุษย์ไปใช้แทนได้ไม่ใช่แค่ขโมยตัวตน แต่เป็นการขโมยความเป็นมนุษย์ ตนจึงข้อเสนอเร่งด่วนต่อ ETDA ขอให้กำหนดให้ธุรกรรมออนไลน์ที่กระทบความมั่นคงต้องขออนุญาตก่อน พร้อมขอให้ ก.ล.ต.กำกับการแจกเหรียญเหมือนสินทรัพย์อื่นที่มีมูลค่าทุกหน่วยงาน ร่วมบูรณาการปิดช่องโหว่ก่อนจะสายเกินแก้ โดยปัจจุบันทั่วโลกมีคนลงทะเบียนแล้ว 30 ล้านคน แต่สแกนม่านตาเพียง 15 ล้านคน โดยในประเทศที่พัฒนาแล้ว World ID ถูกระงับยับยั้งหมด เนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัยข้อมูล จึงขอเรียกร้องต่อ World ID หยุดกิจกรรมทันที
อรุณี ตันศักดิ์ดา ข่าว/เรียบเรียง
