การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วาระ 2 และ 3 เป็นวันที่ 2 เป็นการอภิปรายต่อในมาตรา 14 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุมในขณะนั้น นายกิตติภณ ปานพรหมมาศ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.)จังหวัดนครปฐม พรรคประชาชน อภิปรายแสดงความไม่เห็นด้วยต่อการจัดสสรงบประมาณของกระทรวงสำหรับจัดอบรม 233 ล้านบาท และเสนอให้ตัดลดงบประมาณโครงการศูนย์การเรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าการเกษตร (ศคก.) จำนวน 56.27 ล้านบาท เพราะเห็นว่าเป็นการจัดงบที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ทางการเกษตรในปัจจุบัน ทั้งเรื่องราคาผลผลิตตกต่ำ ปัจจัยการผลิตที่มีต้นทุนสูงขึ้น และปัจจัยที่กระทบต่อการแข่งขัน แม้โครงการดังกล่าวจะจัดตั้งขึ้นมาเป็นระยะเวลาถึง 10 ปี เพื่อส่งเสริมเทคโนโลยีด้านการเกษตรในระดับตำบล เกิดศูนย์เรียนรู้กว่า 800 แห่ง แต่กลับเป็นโครงการที่ไม่เห็นผล เงินงบประมาณส่วนใหญ่หมดไปกับการอบรมและการจัดสัมมนา มากกว่าการลงทุนที่ตัวเกษตรกร เพื่อเพิ่มความสามารถ
ขณะที่ นายเลาฟั้ง บัณฑิตเทิดสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายตั้งข้อสังเกตถึงปัญหาราคาสินค้าเกษตรที่ยังตกต่ำเกือบทุกชนิดหากไม่นับทุเรียน ยกตัวอย่างราคาข้าวที่อาจมีราคาเพียงตันละ 5,000 บาท ในทางกลับกันสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรกลับรายงานสถานการณ์ข้าวว่ายังดีอยู่ จึงเกิดความสงสัยว่าทำการสำรวจผิดหรือไม่ ทั้งนี้ ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมมีที่ดินผลิตอาหารมากกว่า 100 ล้านไร่หรือ 35% ของพื้นที่ประเทศ และกระทรวงเกษตรฯ มีหน่วยงานระดับกรมที่เกี่ยวข้อง 11 หน่วยงานในการสนับสนุน และพบว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกร 6 หน่วยงาน ได้งบประมาณรวม 18,000 ล้านบาท มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมพัฒนาด้านการเกษตรที่ได้งบประมาณรวมทั้งสิ้น 1,500 ล้านบาท แต่งบประมาณส่วนใหญ่ไปอยู่ที่การอบรมสัมมนาและซื้ออุปกรณ์การเกษตรเพื่อนำไปแจกจ่าย ไม่ได้ทำให้เกิดการแข่งขันและพัฒนาอย่างจริงจัง
ด้าน น.ส.ศนิวาร บัวบาน สส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวถึงแผนงานยุทธศาสตร์การเกษตรสร้างมูลค่าที่มีงบสูงถึง 3,300 ล้านบาท เป็นตัวเลขงบที่สูงที่สุดของกรมการข้าว แต่พบสิ่งที่น่าสงสัยบางประเด็น จากการขยายวงเงินและตัวเลขโครงการทั้งปี โดยเริ่มช่วงแรกเป็นเวลา 6 ปี ปัจจุบันขยายไปถึง 10 ปี ส่งผลให้วงเงินงบประมาณเพิ่มขึ้นเหมือนเงาตามตัว หากการขยายงบประมาณในโครงการนี้มีมากขึ้นทุกปี จะต้องทวงถามถึงระยะเวลาสิ้นสุดโครงการ รวมถึงการวัดผลลัพธ์ที่ยังไม่เห็น ขณะเดียวกันตั้งข้อสังเกตถึงงบประมาณปรับปรุงระบบเครือข่ายส่วนภูมิภาค 31 ล้านบาท ในปี งบประมาณ 2568 และปีนี้มีการของบประมาณเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่ายคอมพิวเตอร์ส่วนภูมิภาคประมาณ 29 ล้านบาท ถือเป็นการตั้งงบประมาณที่ซ้ำซ้อน อีกทั้งพบว่าผู้ชนะการประกวดราคาเครือข่ายส่วนภูมิภาคเป็นรายเดียวกับผู้ที่ชนะการประกวดราคารายการพัฒนาระบบอัจฉริยะสนับสนุนการตัดสินใจด้านการบริหารจัดการข้าวของประเทศ อย่างไรก็ตามเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ตนเคยเสนอขอให้มีการตัดงบประมาณในส่วนนี้แล้วด้วย เพราะเห็นถึงความไม่โปร่งใสแต่ไม่มีการดำเนินการปรับแต่อย่างใด
ณรารัฏฐ์ โพธินาม / ข่าว เรียบเรียง