นายชิตวัน ชินอนุวัฒน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สส.)จังหวัดเชียงราย พรรคประชาชน อภิปรายร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วาระที่สอง ในมาตรา 15 งบประมาณกระทรวงคมนาคม โดยกล่าวถึงภาพรวมการจัดสรรงบประมาณสำหรับกรมท่าอากาศยาน ว่า สนามบินบางแห่งมีอัตราการใช้งานที่ต่ำมาก เช่น สนามบินเบตง สนามบินแพร่ สนามบินแม่ฮ่องสอน แต่กลับได้รับงบประมาณในการลงทุนที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับปริมาณผู้โดยสารจริง จึงเกิดคำถามเชิงนโยบายในเรื่องของประสิทธิภาพในการใช้งบประมาณ โดยเฉพาะภายใต้ข้อจำกัดของกระทรวงการคลัง ว่าจะใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างไร สำหรับงบประมาณรายสนามบิน หากเทียบความสามารถและอัตราการใช้งานจริงพบว่ามีความไม่สมดุลอยู่หลายกรณี เช่นสนามบินตรังได้รับงบประมาณ 455 ล้านบาท สนามบินพิษณุโลก 286 ล้านบาท สนามบินชุมพร 286 ล้านบาท โดย สนามบินตรัง และสนามบินชุมพร มีการใช้เที่ยวบินเพียงร้อยละ 63.36 และ ร้อยละ 14.29 ตามลำดับ สวนพิษณุโลกมีการให้บริการเที่ยวบินร้อยละ 90 แต่มีผู้โดยสารใช้บริการเพียงร้อยละ 14 เท่านั้น สะท้อนให้เห็นการจัดเตรียมในสภาวะเกินความจำเป็นในขณะที่สนามบินที่มีภาระสูงแต่ได้รับงบประมาณเพียง 322 ล้านบาทเท่านั้น เช่น สนามบินกระบี่ สนามบินขอนแก่น เป็นต้น
ด้าน นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายมุ่งประเด็นไปที่กรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท โดยระบุถึงปัญหาช่องว่างทางกฎหมายที่ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายเฉพาะสำหรับรถเครน แต่ถูกจัดให้อยู่ในประเภทเดียวกับรถบรรทุก แม้รถเครนจะเป็นรถที่ผลิตจากโรงงานอุตสาหกรรม มีมาตรฐานความปลอดภัยอย่างถูกต้องและวิ่งได้ทั่วโลก แต่ต้องถูกตำรวจจับปรับจากประเด็นน้ำหนักเกิน ทั้งที่รถดังกล่าวไม่ได้มีการดัดแปลงใด ๆ และมาจากโรงงานโดยตรง ในหลายประเทศจัดกลุ่มรถประเภทนี้ให้อยู่ในกลุ่มรถเฉพาะกิจ ซึ่งได้รับการอนุญาตให้มีน้ำหนักรวมเกินกว่ารถบรรทุกทั่วไปได้เนื่องจากรถเครนต้องเคลื่อนย้ายตัวเองไปยังสถานที่ปฏิบัติงานไม่ได้มีลักษณะขนถ่ายสินค้าหรือวิ่งส่งสินค้าไปมาแบบรถบรรทุกทั่วไป แต่กฎหมายของประเทศไทยกลับจัดประเภทรถเครนให้อยู่ประเภทเดียวกับรถบรรทุกและถูกจับในเรื่องของน้ำหนักเกินทั้งที่รถเครนไม่ได้มีการบรรทุก หรือดัดแปลง ดังนั้น จึงมองได้ว่ารถเครนเพื่อใช้ในการยกของกลับถูกใช้เป็นเครื่องมือในการรีดไถ และในปีงบประมาณ 2569 กรมทางหลวงมีแผนในการจัดซื้อรถเครน 2 คันรวม 7.56 ล้านบาท แต่หากยังไม่มีการแก้ไขกฎหมายย่อมหมายความว่ากรมทางหลวงกำลังจะซื้อครุภัณฑ์ที่ผิดกฎหมายมาใช้งาน ส่วนตัวเห็นว่าควรตัดงบประมาณในการซื้อครุภัณฑ์ประเภทนี้ออก และให้กรมทางหลวง ตลอดจนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ไปปรับแก้ไขกฎหมายดังกล่าวให้สอดคล้องกลับหลายประเทศและควรคำนึงถึงหน้าที่การใช้งาน
ณรารัฏฐ์ โพธินาม / ข่าว เรียบเรียง