นายนรเศรษฐ์ ปรัชญากร ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา พร้อมคณะ แถลงผลการลงพื้นที่จังหวัดชุมพร ระนอง และสุราษฎร์ธานี ระหว่างวันที่ 12 - 14 กันยายนที่ผ่านมา เพื่อรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างกฎหมายระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคใต้ (SEC) และโครงการแลนด์บริดจ์ ซึ่งถือเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีผลกระทบกว้างขวาง
โดย นายนรเศรษฐ์ กล่าวว่า การศึกษาของโครงการนี้ที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2557 และสรุปเส้นทางในปี 2560 ซึ่งประชาชนในพื้นที่เห็นว่าขาดความโปร่งใส และไม่ได้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เนื่องจากเวทีรับฟังความคิดเห็นจัดขึ้นเพียงไม่กี่ครั้ง และมักจำกัดอยู่เฉพาะผู้นำท้องถิ่น โดยไม่ได้เชิญประชาชนที่ได้รับผลกระทบเข้าร่วม อีกทั้งรายงานการศึกษาที่จัดทำยังถูกวิจารณ์ว่าไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง อาทิ การประเมินขอบเขตผลกระทบเพียงรัศมี 5 กิโลเมตร ไม่ครอบคลุมต่อเศรษฐกิจ สังคม และระบบนิเวศ รวมถึงการประเมินจำนวนแพทย์ในโรงพยาบาลเกินจริง ไม่สามารถรองรับการลงทุนขนาดใหญ่และการขยายตัวของประชากรที่จะตามมาได้
นอกจากนี้ พื้นที่ก่อสร้างท่าเรือยังทับซ้อนกับเขตชีวมณฑล และพื้นที่ที่เคยถูกเสนอเป็นมรดกโลก หากดำเนินโครงการอาจส่งผลให้สูญเสียคุณค่าทางธรรมชาติถาวร ทั้งการดูดทรายและการระเบิดภูเขาเพื่อขนหิน ซึ่งจะกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศอย่างรุนแรง อีกทั้งยังเสี่ยงทำให้ชาวมอแกนและชุมชนชายฝั่งต้องพลัดถิ่น สูญเสียที่อยู่อาศัยและอาชีพประมง ขณะที่รายงานทางเศรษฐกิจยังประเมินมูลค่าของอาชีพประมงต่ำกว่าความเป็นจริง ขณะเดียวกันประชาชนมีความกังวลต่ออำนาจของคณะกรรมการตามร่างกฎหมาย SEC ที่อาจเอื้อประโยชน์ต่อนายทุน อีกทั้งการตัดถนน เพื่อรองรับโครงการยังอาจกระทบแหล่งน้ำที่ใช้เพาะปลูกผลไม้ มูลค่าหลายหมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งจากการลงพื้นที่พบว่าประชาชนไม่ได้ปฏิเสธการพัฒนา แต่ต้องการให้โครงการเป็นไปอย่างโปร่งใสและมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
นายนรเศรษฐ์ กล่าวอีกว่า ทาง กมธ.ขอเสนอให้มีการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมในระดับยุทธศาสตร์ (SEA) และชะลอโครงการ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ได้มีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตการพัฒนาภาคใต้ ทั้งนี้ กมธ. เห็นว่า หากรัฐบาลจะผลักดันโครงการแลนด์บริดจ์ ควรมีการศึกษาเปรียบเทียบทางเลือกอื่นที่คุ้มค่ากว่าและกระทบน้อยกว่า เพื่อสร้างความชอบธรรมอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงเศรษฐกิจฐานรากและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เคยกล่าวว่า มีความต้องการ ที่จะผลักดันโครงการแลนด์บริดจ์ ซึ่งตนมองว่าโครงการดังกล่าว เป็นโครงการใหญ่ที่ใช้เวลาก่อสร้างนานกว่า 10 ปี จึงขอให้รัฐบาลชะลอและทำประชามติ เพื่อให้ประชาชนทั้งประเทศได้มีส่วนร่วมตัดสินใจ เนื่องจากทรัพยากรทางทะเลและสิ่งแวดล้อมเป็นสมบัติร่วมของคนทั้งชาติ ไม่ใช่ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
อรุณี ตันศักดิ์ดา ข่าว/เรียบเรียง
