นายนรเศรษฐ์ ปรัชญากร สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา พร้อมด้วยนายเทวฤทธิ์ มณีฉาย โฆษก กมธ. กล่าวถึงทิศทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ประเด็นสำคัญที่รัฐสภาต้องเร่งดำเนินการคือการแก้ไขมาตรา 256 เพื่อเปิดทางให้สามารถจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ โดยคาดว่าภายในสัปดาห์นี้และสัปดาห์หน้า พรรคการเมืองหลายพรรคจะทยอยยื่นข้อเสนอร่างเข้ามา และจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณารับหลักการในวาระหนึ่ง ก่อนที่จะตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม ทั้งนี้หากขั้นตอนต่างๆ ดำเนินไปตามกรอบเวลา หลังจากเปิดประชุมสภาสมัยหน้า จะสามารถเข้าสู่วาระที่ 2 และ 3 ได้ทันที และคาดว่ากระบวนการทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งจะสอดคล้องกับช่วงเวลาที่พระราชบัญญัติประชามติสามารถบังคับใช้ได้พอดี ก่อนจะเข้าสู่การยุบสภาในช่วงต้นปีหน้า
นายนรเศรษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วง 6 -7 เดือนที่ผ่านมา กมธ.ได้ศึกษาข้อมูลและแนวทางการจัดตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) อย่างรอบด้าน ทั้งในเรื่องคุณสมบัติ อำนาจหน้าที่ และที่มาของ ส.ส.ร. โดยมีเป้าหมายสำคัญคือให้การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีความยึดโยงกับประชาชนมากที่สุด อย่างไรก็ตาม คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมาระบุว่า ประชาชนไม่สามารถเลือก ส.ส.ร. ได้โดยตรง ทำให้ กมธ.ต้องหาทางออกใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับข้อจำกัดดังกล่าว โดยได้ศึกษาโมเดลจากหลายประเทศ และมีการพูดคุยกันใน กมธ.ว่า แม้ประชาชนจะไม่สามารถเลือก ส.ส.ร. โดยตรงได้ แต่อาจใช้วิธีการให้ประชาชนเลือกผู้แทนเป็นกลุ่มหรือสัดส่วนก่อน จากนั้นให้รัฐสภาเป็นผู้คัดเลือกอีกชั้นหนึ่ง วิธีนี้ถือเป็นการเลือกทางอ้อม แต่ยังสะท้อนเจตจำนงของประชาชน และทำให้ ส.ส.ร. มีความยึดโยงกับสังคมในระดับหนึ่ง สำหรับจุดยืนของตนและคณะกรรมาธิการคือเห็นด้วยกับการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นของประชาชน และต้องมีความชอบธรรมมากที่สุด แต่ในเมื่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาเช่นนี้ ก็ต้องหาทางปรับโจทย์และนำเสนอโมเดลที่เหมาะสมต่อไป โดยไม่ละทิ้งหลักการที่ประชาชนควรเป็นศูนย์กลางของการร่างรัฐธรรมนูญ
ด้าน นายเทวฤทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่าสิ่งที่ปรากฏในการแถลงข่าวของศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ใช่คำวินิจฉัยเต็ม และประเด็นที่เป็นข้อความนอกเหนือจากคำวินิจฉัยนั้นไม่ได้อยู่ในคำถามของทั้ง นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกวุฒิสภา และนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยศาลเพียงชี้ว่ารัฐสภาไม่สามารถให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรงได้ แต่รัฐสภาควรยืนยันว่าข้อความดังกล่าวเป็นเพียงความเห็นไม่ใช่คำวินิจฉัย รัฐสภาจึงยังมีสิทธิ์แก้ไขรัฐธรรมนูญได้ตามมาตรา 3 ที่ระบุว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน พร้อมเห็นว่าสมาชิกรัฐสภาต้องยืนหยัดปกป้องสิทธิของประชาชนในส่วนนี้ในฐานะหนึ่งในเสาหลักของอำนาจอธิปไตย ไม่ยอมให้ศาลแทรกแซงได้ พร้อมเสนอว่าระหว่างกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญหรือทำประชามติ รัฐบาลควรรณรงค์และให้ข้อมูลแก่ประชาชน เพื่อสร้างการมีส่วนร่วม เช่นเดียวกับปี 2559 ที่มีการรณรงค์ก่อนทำประชามติ สร้างความตระหนักรู้ให้ประชาชนไปใช้สิทธิ์ในการออกเสียง ทั้งนี้ ในวันแถลงนโยบายของรัฐบาล ควรตั้งถามต่อนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ว่ามีแผนรณรงค์จัดทำรัฐธรรมนูญใหม่อย่างจริงจังเพียงใด ไม่ใช่แค่รอกลไกรัฐสภาและการจัดทำประชามติเท่านั้น
อรุณี ตันศักดิ์ดา ข่าว/เรียบเรียง
