นายนรเศรษฐ์ ปรัชญากร ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา พร้อม นายพรชัย วิทยเลิศพันธุ์ รองเลขานุการ กมธ. ร่วมกันแถลงข่าวถึงความคืบหน้าการพิจารณาศึกษาโครงการแลนด์บริดจ์ และ พ.ร.บ.ระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) ของ กมธ. ภายหลังการลงพื้นที่ การจัดเสวนา และเชิญผู้เกี่ยวข้องมาชี้แจงข้อมูลต่อที่ประชุม กมธ. ว่า ขณะนี้รายงานผลการพิจารณาศึกษาของ กมธ. ใกล้จะเสร็จแล้ว โดยผลการศึกษาผลกระทบเกี่ยวกับโครงการแลนด์บริดจ์ และ พ.ร.บ.SEC นัดล่าสุดเมื่อวานนี้ (23 ก.ย.68) โดยมีข้อค้นพบสำคัญในประเด็นแรก คือ ความบกพร่องร้ายแรงของรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ของโครงการท่าเรือทั้งสองฝั่ง คือ ฝั่งจังหวัดระนอง และฝั่งจังหวัดชุมพร มีข้อบกพร่องเชิงโครงสร้างที่สำคัญ โดยเฉพาะการยอมรับในรายงานว่ายังไม่ได้ศึกษาผลกระทบด้านสมุทรศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงชายฝั่งจากการถมทะเลขนาดใหญ่กว่า 5,000 ไร่ แต่กลับสรุปผลกระทบว่าอยู่ในระดับปานกลาง ซึ่งขัดต่อหลักการทางวิทยาศาสตร์และสามัญสำนึกด้วย นอกจากนี้ มาตรการป้องกันและลดผลกระทบในบทที่ 5 ของรายงาน ยังขาดความชัดเจนและไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง รายฉบับนี้จึงไม่น่าจะผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการผู้ชำนาญการได้ ส่วนประเด็นที่สอง คือ ความไม่สมเหตุสมผลทางเศรษฐกิจและโลจิสติกส์ การวิเคราะห์ในสายการเดินเรือชี้ให้เห็นว่าเรือแม่ซึ่งเป็นเป้าหมายขนาดใหญ่ของโครงการไม่มีแรงจูงใจทางเศรษฐกิจที่จะใช้เส้นทางแลนด์บริดจ์ การประหยัดเวลาเดินเรือในทะเลเพียง 1 - 2 วัน ไม่สามารถชดเชยเวลาที่ต้องสูญเสียไปกับการขนถ่ายตู้คอนเทนเนอร์ทั้งหมดประมาณ 10,000 ตู้ของเรือแม่ ขึ้นและลงจากเรือ ซึ่งต้องใช้เวลานานถึง 14 วัน และมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมหาศาล ดังนั้น ปริมาณสินค้าที่คาดว่าจะมาใช้บริการจริง อาจมีเพียง 2 - 3 ล้านตู้ต่อไป ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับตัวเลขที่ภาครัฐคาดการณ์ไว้ที่ 19 - 20 ล้านตู้ ด้านประเด็นที่สาม คือข้อกังขาต่อตัวเลขในการศึกษาของภาครัฐ การศึกษาความเป็นไปได้ของภาครัฐ ถูกตั้งคำถามในหลายประเด็น โดยเฉพาะการคาดการณ์ปริมาณสินค้าที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด การประเมินรายได้ที่เพิ่มขึ้น 10 เท่าใน 5 ปี ขณะที่ต้นทุนเพิ่มขึ้นเพียง 2 เท่า ซึ่งขัดแย้งกับหลักการว่าเมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้น รายจ่ายก็จะเพิ่มขึ้นด้วย การคำนวนผลประโยชน์ทางอ้อม หรือพายุหมุนทางเศรษฐกิจของโครงการนี้ที่ประเมินไว้สูงถึง 3 เท่าของผลประโยชน์ทางตรงและคงที่ตลอดเวลาโครงการ ซึ่งเป็นการประเมินที่ผิดปกติมากตามหลักเศรษฐศาสตร์
ขณะประเด็นที่สี่ คือ ช่องว่างใน พ.ร.บ.SEC แม้กฎหมาย SEC จะวางหลักการที่ดีไว้หลายมาตรา แต่มาตรการเหล่านี้ขาดรายละเอียดและกลไกในการนำไปปฏิบัติให้ได้เกิดผลจริง ทำให้ทาง กมธ. มีความกังวลว่าหลักการเหล่านี้อาจไม่ถูกนำมาบังคับใช้ และกฎหมายจะมุ่งเน้นไปที่การให้อำนาจพิเศษแก่คณะกรรมการนโยบายในการยกเว้นกฎเกณฑ์ต่าง ๆ คล้ายกับกฎหมาย EEC และประเด็นที่ห้า คือ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายจากทาง กมธ. ในการเสนอชัดเจนว่าให้ชะลอโครงการแลนด์บริดจ์ และดำเนินการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (SEA) ก่อน เพื่อให้เห็นภาพรวมการพัฒนาภาคใต้ที่ยั่งยืนและหาทางเลือกที่เหมาะสม แทนที่จะพิจารณาเป็นรายโครงการเหมือนที่ทำอยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้ ต้องมีการปฏิรูปกระบวนการรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของประชาชนให้มีความหมายและเป็นกลางอย่างแท้จริง โดยเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากชดเชยเยียวยาไปสู่การแบ่งปันผลประโยชน์ที่เป็นธรรมแก่ชุมชนอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ นายนรเศรษฐ์ ประธาน กมธ.การพัฒนาการเมืองฯ วุฒิสภา กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า จากกรอบเวลาที่รัฐบาลปัจจุบันต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน ทาง กมธ. เห็นว่ารัฐบาลที่มีกรอบเวลาการทำงานจำกัดไม่ควรจะต้องผูกมัดกับโครงการที่เป็นระยะยาวขนาดนี้ และไม่มีความชอบธรรมที่จะอนุมัติโครงการขนาดใหญ่ แต่หากรัฐบาลปัจจุบันต้องการจะผลักดันโครงการแลนด์บริดนี้จริง ๆ ควรนำไปใส่ไว้ในนโยบายหาเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้า ต่อไป
คณรัตน์ ยินดีมิตร / ข่าว / เรียบเรียง