นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอภิปรายนโยบายของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ว่า นโยบายของรัฐบาลยังเป็นภาพรวมกว้าง ๆ ไม่มีความเฉพาะเจาะจง และที่น่าสังเกต คือ นโยบายที่เคยใช้หาเสียงไว้ก่อนการเลือกตั้งกลับหายไป ส่วนที่รัฐบาลระบุถึงข้อจำกัด 3 ประการ คือ มีเวลาจำกัด ไม่ได้จัดทำงบประมาณเอง และเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยนั้น ส่วนตัวมองว่า เรื่องดังกล่าวเกิดจากการจัดตั้งรัฐบาลต่างตอบแทน ซึ่งทำให้ฝ่ายหนึ่งได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ขณะที่อีกฝ่ายได้ยุบสภาและแก้ไขรัฐธรรมนูญ
นายจุรินทร์ กล่าวด้วยว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันไม่ได้มีเวลาทำงานเพียง 4 เดือน แต่อาจจะอยู่ได้นานถึง 8-9 เดือน หากนับรวมตั้งแต่การโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง และช่วงรอจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งน้อยกว่ารัฐบาลชุดที่แล้วเพียงเดือนกว่า ๆ เท่านั้น ที่สำคัญไปกว่านั้น รัฐบาลชุดนี้ยังมีข้อได้เปรียบหลายประการ อาทิ การจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีที่สามารถทำได้หลายตำแหน่ง การมีงบประมาณพร้อมใช้ ทั้งงบเหลือจ่ายปี 2568 จำนวน 60,000 ล้านบาท และงบประมาณปี 2569 อีก 3.78 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะงบฉุกเฉินในอำนาจนายกรัฐมนตรีที่มีสูงถึง 98,000 ล้านบาท เช่นเดียวกับการมีนโยบายสำเร็จรูปจากผู้มีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ หรือข้อตกลง MOA ที่กำหนดทิศทางไว้แล้ว สามารถนำไปปฏิบัติได้ทันที ทำให้รัฐบาลเหลือภารกิจที่ต้องคิดเองเพียง 3 เรื่อง คือ การจัดทำนโยบายแถลงต่อสภา การจัดตั้งคณะรัฐมนตรี และการทำนโยบายให้สำเร็จ
นายจุรินทร์ กล่าวถึงข้อสังเกตต่อนโยบายรัฐบาล ว่า แม้ว่ารัฐบาลระบุถึง 4 ภัยคุกคาม คือ ภัยเศรษฐกิจ ความมั่นคง สังคม และภัยธรรมชาติ แต่กลับมองข้ามภัยที่ 5 คือ ภัยจากการทุจริตคอร์รัปชั่น ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ตนตั้งข้อสังเกตว่าประชาชนจำนวนมากมองว่าเรื่องนี้มาผิดที่ผิดเวลา เพราะอยากให้แก้ปัญหาปากท้องก่อน ที่สำคัญ คือ ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ต้องติดตามว่า นโยบาย "รักษาอธิปไตย" หมายรวมถึงการยึดคืนพื้นที่ที่ถูกครอบครองไปแล้วด้วยหรือไม่ และจะจัดการกับกาสิโนในเขมรที่สร้างล้ำเขตแดนไทยอย่างไร นอกจากนี้ ยังมี ปัญหาราคาพืชผลเกษตรตกต่ำ โดยเฉพาะราคาพืชผล 6 ชนิดที่กำลังวิกฤต ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง ยาง ปาล์ม ข้าวโพด และผลไม้ อย่างไรก็ตาม ตนขอชื่นชมการนำโครงการคนละครึ่ง มาใช้อีกครั้ง ถือว่ารัฐบาลคิดแยบยลมาก ที่แบ่งโครงการเป็น 2 เฟส โดยเฟสที่ 2 อาจจะเกิดขึ้นช่วงเดือนมกราคม ซึ่งประจวบเหมาะกับช่วงที่จะมีการยุบสภาพอดี อาจกลายเป็นนโยบายเศรษฐกิจครึ่ง การเมืองครึ่ง ส่วนการยึดหลักนิติธรรมด้วยการเอาผิดทางวินัยและอาญากับเจ้าหน้าที่รัฐที่ใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ทางการเมือง แต่ตั้งคำถามว่านโยบายนี้จะครอบคลุมถึงการทำงานของ DSI หรือกรมราชทัณฑ์ที่อาจมีการเอื้อประโยชน์ให้นักการเมืองหรือไม่
นายจุรินทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนขอฝากคาถา 5 ข้อเตือนใจรัฐบาล ได้แก่ อย่าโกง อย่าใช้ระบบพรรคพวก อย่าเลือกปฏิบัติในการพัฒนา อย่าลุแก่อำนาจ และอย่าแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม โดยเชื่อว่าหากรัฐบาลทำได้ ก็จะมีโอกาสกลับมาอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นในฐานะรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ซึ่งขึ้นอยู่กับการกระทำและผลงานที่จะปรากฏต่อสายตาประชาชน
ณัฐพล สงวนทรัพย์ ข่าว/เรียบเรียง