นายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จังหวัดเชียงใหม่ พรรคประชาชน กล่าวถึงกรณีการลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการพัฒนาความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุที่มีความสำคัญในระดับโลกและการส่งเสริมการลงทุน ระหว่างไทย- สหรัฐฯ (Memorandum of Understanding between the Government of the United States of America and the Government of the Kingdom of Thailand Concerning Cooperation to Diversify Global Critical Mineral Supply Chains and Promote Investments) ว่า ตนตั้งข้อสังเกตว่าการลงนามดังกล่าว รัฐบาลไทยรีบเร่งดำเนินการอย่างเร่งด่วนภายใน 4 วัน ซึ่งผลประโยชน์เกิดขึ้นกับประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ปัญหามลพิษจากเหมืองแร่ในเมียนมาที่ไหลลงสู่แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำสาละวิน ทางจังหวัดเชียงราย-เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน รัฐบาลไทยกลับไม่เร่งดำเนินการใด ๆ
นายภัทรพงษ์ กล่าวด้วยว่า รัฐบาลไทยดำเนินการทำ MOU กับสหรัฐโดยใช้เวลาเพียง 4 วัน นับตั้งแต่วันที่ 20 ต.ค.68 ที่กระทรวงต่างประเทศของไทย ได้รับร่าง MOU ฉบับนี้จากสหรัฐฯ และวันที่ 23 ต.ค.68 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ประชุมลับเพื่อพูดคุยเนื้อหาร่าง MOU โดยไม่มีข้อเสนอจากรัฐมนตรีแม้แต่คนเดียวในการแก้ไขข้อความใด ๆ เพื่อเติม หลังจากนั้นกระทรวงต่างประเทศของไทยจึงส่งร่างที่ไทยปรับแก้ให้สหรัฐอเมริกาตรวจสอบ ซึ่งสหรัฐก็เห็นชอบกับการเสนอแก้ไขของรัฐบาลไทยทั้งหมด ซึ่งตนตั้งข้อสังเกตว่า MOU ฉบับนี้อาจทำให้ไทยต้องเสียประโยชน์ ขณะที่การแก้ปัญหาน้ำเป็นพิษจากการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในเมียนมาแล้วส่งผลกระทบมายังไทย กลับไม่มีความคืบหน้าใด ๆ มีเพียงการเจรจาระดับรัฐมนตรีต่อรัฐมนตรีกับเมียนมาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ปัจจุบัน คนจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ และเชียงราย กำลังเจอกับปัญหาแม่น้ำสาละวิน แม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก เป็นพิษ ประปาหมู่บ้านเจอสารตะกั่วเกินเกณฑ์ ตรวจปัสสาวะในมนุษย์ก็พบสารหนูเกินมาตรฐาน ปลาที่มีสารปรอทในเกณฑ์เสี่ยงกับเด็ก สตรีมีครรถ์ และผู้สูงอายุ แต่ภาครัฐกลับบอกว่ารับประทานได้ สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลที่มีประสิทธิภาพต้องเข้าใจปัญหาและทำงานแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ไม่ควรปล่อยให้ประชาชนต้องเผชิญกับปัญหามลพิษไปตามยถากรรมแบบนี้
ณัฐพล สงวนทรัพย์ ข่าว/เรียบเรียง