นายพูนศักดิ์ จันทร์จำปี ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย รศ.ดร.เจนยุกต์ โล่ห์วัชรินทร์ หัวหน้าภาควิชาสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน และ ศ.ดร.เบญจพร สุวรรณศิลป์ อาจารย์ประจำภาควิชาสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในนามเครือข่ายกลุ่มนักวิชาการวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม 71 คน ร่วมแถลงข่าวชี้แจงจุดยืนทางวิชาการเกี่ยวกับประสิทธิภาพการใช้ EM ในการบริหารจัดการกลิ่นและน้ำเสีย
โดย นายพูนศักดิ์ กล่าวว่า เครือข่ายนักวิชาการ มีความเห็นตรงกันว่า การใช้ EM ในการบริหารจัดการกลิ่นยังจำเป็นต้องมีการศึกษาทางวิชาการอย่างจริงจัง โดย กมธ.ได้ลงพื้นที่ในจังหวัดสระบุรีและพบปัญหาการปล่อยน้ำเสียลงสู่แหล่งน้ำดิบสำหรับการผลิตน้ำประปา ทางหน่วยงานท้องถิ่นและจังหวัดสระบุรีได้แนะนำให้ใช้น้ำหมักชีวภาพฉีดพรมบริเวณแหล่งน้ำ ซึ่งกลับกลายเป็นหนึ่งในกระบวนการที่ทำให้น้ำเสียสกปรกมากขึ้นและมีความเสี่ยงที่ค่าคุณภาพน้ำจะลดลง อีกทั้งยังพบว่าปัจจุบันหลุมฝังกลบขยะที่พบปัญหามีจำนวนกว่า 2,000 แห่งทั่วประเทศ และมีการร้องเรียนเรื่องกลิ่นทุกแห่ง หน่วยงานท้องถิ่นทั้งภาครัฐและเอกชน ได้เสนอวิธีแก้ปัญหาโดยการใช้น้ำหมักชีวภาพฉีดพรมบริเวณหลุมฝังกลบ แต่ไม่ได้คำนึงถึงการจัดการด้านเทคนิค ทำให้การแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่ได้เป็นการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนและยังคงมีปัญหาเรื่องกลิ่นเช่นเดิม จึงควรจัดการปัญหาที่ต้นทางคือการควบคุมก๊าซที่เกิดขึ้นจากระบวนการฝังกลบ อย่างเช่นเหตุการณ์ล่าสุดจากน้ำท่วมที่หาดใหญ่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้สั่งการเร่งด่วนให้หน่วยงานในสังกัดผลิตน้ำหมักชีวภาพประมาณ 140,000 ลิตร เพื่อนำไปฉีดพรมตามบริเวณจุดที่มีน้ำท่วมขัง กระบวนการเหล่านี้เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายทาง ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาที่ต้นทางซึ่งจะเป็นการจัดการที่ยั่งยืนกว่า ดังนั้นตนจึงต้องการให้หน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหน่วยงานหลักที่ควรชี้แจงและนำข้อมูลทางด้านวิชาการมาเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ รวมถึงแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ ซึ่งเป็นการจัดการปัญหาที่ยั่งยืนมากกว่าการจัดการปัญหาที่ปลายทางโดยการใช้ EM และน้ำหมักชีวภาพมาฉีดในพื้นที่
ด้าน ศ.ดร.เบญจพร สุวรรณศิลป์ กล่าวให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า น้ำเสียหรือน้ำเน่าคือน้ำที่มีสารอินทรีย์ปนเปื้อนสูง เกิดจากขยะปนเปื้อนทำให้ออกซิเจนในน้ำต่ำลง ส่วน EM หรือกลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพนั้น มีต้นกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น พัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในการเกษตรและปรับปรุงคุณภาพดิน ประกอบด้วยจุลินทรีย์ 3 กลุ่มหลัก คือ แบคทีเรียกรดแลกติก ยีสต์ และแบคทีเรียสีม่วง อย่างไรก็ตาม EM Ball และน้ำหมักชีวภาพที่นำมาใช้ในปัจจุบันมีปัญหาหลายประการ เนื่องจากไม่ทราบองค์ประกอบจุลินทรีย์ที่แน่ชัดและไม่ทราบปริมาณการใช้งานที่เหมาะสม แม้ว่าในทางทฤษฎีแบคทีเรียสีม่วงอาจมีความสามารถในการกำจัดก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ซึ่งเป็นสาเหตุของกลิ่นเหม็นได้ แต่ก็ยากที่จะมั่นใจในประสิทธิภาพ เพราะจุลินทรีย์แปลกปลอมที่เติมเข้าไปจำนวนน้อยไม่สามารถแข่งขันกับจุลินทรีย์ดั้งเดิมในธรรมชาติได้ พร้อมยืนยันว่า การใช้ EM และน้ำหมักชีวภาพไม่ช่วยบำบัดน้ำเสียแต่อย่างใด และเนื่องจากไม่มีการแยกตะกอนจุลินทรีย์ จึงทำให้น้ำปนเปื้อนมากยิ่งขึ้น หากจะใช้เพื่อกำจัดกลิ่นเพียงอย่างเดียวอาจเป็นไปได้ แต่ต้องมีการทดสอบประสิทธิภาพอย่างชัดเจน มีการเปรียบเทียบทางสถิติและชุดควบคุมเพื่อให้การใช้ทรัพยากรถูกต้องและตรงเป้าหมาย ทั้งนี้ วิธีแก้ปัญหาน้ำเน่าเสียที่ดีที่สุดคือการเร่งกำจัดขยะออกจากพื้นที่และระบายน้ำออกให้เร็วที่สุด ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นทาง ไม่ใช่ใช้ทางออกลวงด้วย EM หรือน้ำหมักชีวภาพที่เป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
ปรีณาพรรณ ขวัฐสกุล /ข่าว
อรุณี ตันศักดิ์ดา /เรียบเรียง