นายพูนศักดิ์ จันทร์จำปี ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร นำคณะ กมธ. ร่วมกันแถลงข่าวภายหลังการประชุม กมธ. เพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับการจัดตั้งเขตอุทยานแห่งชาติแห่งใหม่ ซึ่งมีปัญหาเรื่องกระบวนการทับซ้อนของพื้นที่และการจัดการแนวเขตที่ดิน การประชุมนี้มีจุดประสงค์หลักคือ ต้องการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานรัฐ คือ กรมป่าไม้และกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กับประชาชน ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการประกาศเขตอุทยานฯ หรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่าที่ทับซ้อนกับพื้นที่ทำกินและที่อยู่อาศัย ซึ่งภายหลังจากหลังจากการประกาศใช้ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ได้เกิดปัญหาขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ระหว่างการเตรียมประกาศเขตอุทยานฯ และประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็น พ.ศ. 2564 ยังไม่เป็นไปตาม 6 หลักการสากล ได้แก่ 1.ความโปร่งใส ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างตรงไปตรงมา 2.การเข้าถึง ช่องทางและวิธีการมีส่วนร่วมไม่สามารถเข้าถึงได้สำหรับทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางหรือด้อยโอกาส 3.ความยุติธรรม การปฏิบัติต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มยังไม่เท่าเทียมและยุติธรรม 4.ความเคารพ ขาดความเคารพในความคิดเห็น ความเชื่อ และวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน 5. การตอบสนอง องค์กรไม่แสดงให้เห็นว่ารับฟังและนำความคิดเห็นไปพิจารณาอย่างจริงจัง รวมถึงการตอบสนองต่อข้อกังวลที่เกิดขึ้น และ 6.การสื่อสารอย่างสม่ำเสมอ การให้ข้อมูลและการรับฟังความคิดเห็นไม่ทันท่วงทีและต่อเนื่อง
นายเลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล เลขานุการคณะ กมธ. กล่าวว่า แม้ว่าการประกาศเขตป่าอนุรักษ์ เช่น อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า หรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่า จะมีวัตถุประสงค์เพื่ออนุรักษ์พื้นที่ป่า ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นและเป็นที่ยอมรับร่วมกัน แต่การดำเนินการดังกล่าวกลับจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในที่ดิน สิทธิในการพัฒนา และสิทธิในการใช้ทรัพยากรจากป่า ดังนั้น การดำเนินการจึงต้องทำด้วยความรัดกุมไม่ให้กระทบสิทธิและเสรีภาพของประชาชนจนกลายเป็นความขัดแย้ง ขณะที่กฎหมายปัจจุบันที่กำหนดขั้นตอนและวิธีการประกาศเขตอุทยานฯ ไม่มีสภาพบังคับ เป็นเพียงแนวทางปฏิบัติภายในของกรมอุทยานฯ เท่านั้น ดังนั้น คณะ กมธ. ได้พิจารณาข้อร้องเรียนและมีความเห็นร่วมกันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเปิดเผยข้อมูลและแผนที่แนวเขตพื้นที่เตรียมการประกาศ ให้ชาวบ้านได้รับทราบอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะแผนที่แนวเขตในรูปแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ 1:4,000 ขณะที่ กรมอุทยานฯ ต้องกำชับให้ผู้ปฏิบัติงาน จัดทำกระบวนการมีส่วนร่วมสำหรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างครบถ้วนในทุกพื้นที่ รวมทั้งกั้นแนวเขตที่ดินที่อยู่อาศัย ที่ทำกิน รวมถึงพื้นที่ป่าชุมชนของชุมชน ออกจากพื้นที่ที่จะดำเนินการประกาศให้ครบถ้วน 100% เนื่องจากหากมีการประกาศทับซ้อนไปแล้ว ในช่วงหลังปี 2562 จะไม่สามารถดำเนินการกันพื้นที่ภายหลังได้ ทำให้เป็นการทับซ้อนถาวร นอกจากนี้ จำเป็นต้องปรับปรุงระเบียบกฎหมาย โดยเฉพาะประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่องการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และการจัดให้มีการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น โดยระบุกลุ่มเป้าหมายและวิธีการรับฟังความคิดเห็น เพื่อแก้ไขปัญหาที่ผ่านมา ทั้งนี้ ควรเสนอให้มีการออกประกาศหรือกฎที่กำหนดขั้นตอนและวิธีการประกาศเขตอุทยานฯ ให้มีสภาพบังคับเป็นกฎหมาย เพื่อให้เป็นกรอบทั้งสำหรับเจ้าหน้าที่ในการดำเนินการและประชาชนผู้ได้รับผลกระทบที่จะดำเนินการใช้สิทธิ สิ่งนี้จะช่วยลดความขัดแย้งและสร้างความน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอของ ทั้งนี้ กมธ. เห็นว่า แม้การประกาศเขตป่าอนุรักษ์เป็นสิ่งจำเป็น แต่ต้องไม่กระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่อยู่มาก่อน หรือผู้ที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายและนโยบายอยู่แล้ว ข้อเสนอดังกล่าวจึงมุ่งหวังลดปัญหาความขัดแย้งด้วยการทำให้เกิดความชัดเจนในเรื่องของแผนการปฏิบัติงานและการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน เพื่อให้การอนุรักษ์ดำเนินไปพร้อมกับการคุ้มครองสิทธิของประชาชน
ณัฐพล สงวนทรัพย์ ข่าว/เรียบเรียง