นายวิรัตน์ รักษ์พันธ์ ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ …) พ.ศ. …. นำคณะ กมธ. แถลงภายหลังที่ประชุมวุฒิสภามีมติเห็นชอบวาระที่สาม เห็นชอบด้วยกับสภาผู้แทนราษฎรต่อร่างกฎหมายดังกล่าว ด้วยเสียง 125 เสียง งดออกเสียง 5 เสียง และไม่ลงคะแนน 1 เสียง นำไปสู่ขั้นตอนการประกาศใช้เป็นกฎหมาย ว่าการพิจารณาร่างกฎหมายนี้มีสาระสำคัญ 4 ประการ ได้แก่ ขยายขอบเขตการคุ้มครองไปถึงแรงงานที่ทำงานในลักษณะจ้างเหมาบริการ ในหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และองค์การมหาชน ให้ได้รับสิทธิพื้นฐานเทียบเท่ากฎหมายคุ้มครองแรงงาน กำหนดสิทธิลาคลอดบุตรไม่เกิน 120 วัน (จากเดิม 98 วัน) โดยนายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างเต็มจำนวนใน 60 วันแรก การเพิ่มสิทธิลาต่อเนื่องเพื่อเลี้ยงดูบุตรอีกไม่เกิน 15 วัน กรณีบุตรป่วย เสี่ยงโรคแทรกซ้อน มีความผิดปกติ หรือพิการ และได้รับค่าจ้าง 50% ของค่าจ้าง การเพิ่มสิทธิลาเพื่อช่วยเหลือคู่สมรสที่คลอดบุตรไม่เกิน 15 วัน โดยได้รับค่าจ้างเต็มจำนวน คณะ กมธ. ย้ำว่าให้ความสำคัญต่อแรงงานที่เป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนประเทศ ต้องได้รับสิทธิและสวัสดิการที่เหมาะสม เท่าเทียม และทันต่อสภาพเศรษฐกิจสังคมที่เปลี่ยนไป นอกจากนี้ เผยถึงขั้นตอนว่า จากนี้วุฒิสภาจะส่งร่างกฎหมายดังกล่าวไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อดำเนินการตามขั้นตอน ก่อนมีการประกาศใช้เป็นกฎหมายซึ่งจะมีผลบังคับใช้หลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว 30 วัน เมื่อมีผลบังคับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกระทรวงแรงงานและกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จะต้องออกกฎหมายลำดับรองและเร่งบังคับใช้ให้เกิดผลในทางปฏิบัติต่อไป
ด้าน นายชินโชติ แสงสังข์ รองประธาน กมธ.วิสามัญฯ และสมาชิกวุฒิสภา (สว.) กลุ่มแรงงาน กล่าวว่า แม้การปรับเพิ่มวันลาคลอดจาก 98 วัน เป็น 120 วัน จะถือเป็นความก้าวหน้า แต่ตนยังยืนยันตามข้อเสนอขององค์การอนามัยโลกและองค์การยูนิเซฟ ว่ามารดาควรมีสิทธิลาคลอดและเลี้ยงดูบุตรไม่น้อยกว่า 180 วัน เพื่อให้เด็กได้รับนมแม่อย่างเต็มที่ แม้เงื่อนไขทางการเมืองในปัจจุบันบังคับให้ต้องยอมรับ 120 วัน แต่ในฐานะผู้นำแรงงาน ยังเห็นว่าควรเป็น 180 วัน ขณะที่ รศ.แล ดิลกวิทยรัตน์ ประธานที่ปรึกษากมธ. วิสามัญฯ ระบุว่า การเรียกร้องสิทธิลาคลอดยืดเยื้อมากว่า 30 ปี จนขณะนี้ได้ปรับเพิ่ม ถือเป็นการชดเชยที่แรงงานรอคอยมายาวนาน พร้อมชี้ว่า ประเด็นนี้ไม่เพียงเป็นสวัสดิการแรงงาน แต่ยังเกี่ยวพันกับการสร้างแรงงานคุณภาพในอนาคต ไทยกำลังเผชิญปัญหาขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานที่มีคุณภาพ หากเด็กตั้งแต่แรกเกิดได้รับการดูแล มีสุขภาพกายใจที่แข็งแรง ก็จะเติบโตเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมยุคใหม่ได้
นอกจากนี้ นางสาวสุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง อดีตตัวแทนแรงงานในฐานะรองโฆษกคณะกมธ.วิสามัญฯ กล่าวขอบคุณสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาที่ให้ความสำคัญกับลูกจ้างภาครัฐ หรือลูกจ้างเหมาบริการ ซึ่งในส่วนของคณะกมธ.วิสามัญฯ ได้มีการพิจารณาและให้ความสำคัญไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ที่ทำงานเข้ามามีส่วนร่วมซึ่งจะนำไปสู่การมีแรงงานในอนาคตต่อไป เนื่องจากขณะนี้จำนวนผู้สูงอายุมากขึ้น และการเพิ่มเวลาคลอดไม่ได้หมายความว่าจะเป็นทางออกทางเดียว ข้อเสนอแนะที่คณะกมธ.ได้เสนอให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกระทรวงแรงงาน ให้มีการประชุมหารือเพื่อจัดทำร่างระเบียบหรือบางเรื่องควรจะทำเป็นกฎหมาย โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับประกันสังคม ที่มีการเพิ่มวันลาต้องแก้ที่ตัวกฎหมายประกันสังคมด้วย
ณัฐเดช เอียดปุ่ม /ข่าว /เรียบเรียง